“บัญชีม้า” ปัญหาระดับชาติ ภัยร้ายฟอกเงิน การเงินสุจริตชะงัก เสี่ยงฉุดเศรษฐกิจไทยจมดิ่ง

“บัญชีม้า” ปัญหาระดับชาติ ภัยร้ายฟอกเงิน การเงินสุจริตชะงัก เสี่ยงฉุดเศรษฐกิจไทยจมดิ่ง

ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดมาได้สักพักใหญ่ จะเห็นได้จากการใช้จ่ายด้วยระบบพร้อมเพย์ สแกนคิวอาร์โค้ดเงินออก จ่ายค่าสินค้า บริการได้ง่ายๆ ในพริบตา สร้างกระเงินหมุนเวียนในธุรกิจร้านค้าอย่างมาก และพฤติกรรมของผู้บริโภคก็ได้คุ้นชินกับสังคมไร้เงินสดขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่ 100% ก็ตาม

แต่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมากระแสบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับการออกมาโพสต์ “ถูกซื้อหวยออนไลน์แล้วรับโอนเงินรางวัล เสี่ยงถูกอายัดไปจนถึงคนซื้อ” และต่อมายังมีการออกมาโพสต์เตือน “อย่าโอนเงินเข้าบัญชีตัวเองกลับไป–มา เพราะจะเสี่ยงถูกอายัด” เหล่านี้ได้สร้างความกังวลให้กับใครหลายคน จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่มั่นใจในการทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคาร และยังมีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประชาชนที่ประกอบอาชีพที่จำเป็นต้องทำธุรกรรมโอนเงิน เข้า–ออกทุกวัน เช่น อาชีพไรเดอร์ พ่อค้าแม่ค้า ที่รับโอนพร้อมเพย์อยู่แล้ว หรือเจ้าของธุรกิจ ห้างร้านที่มีการรับโอนเงินจำนวนมาก ในแต่ละวัน เป็นต้น แต่ดันต้องสงสัยหรือมีความเสี่ยงที่จะเป็น “บัญชีม้า” ของกลุ่มมิจฉาชีพ ทำให้มองว่าไม่เป็นธรรม และไม่มีการตรวจสอบที่ชัดเจนก่อนจะทำการอายัดบัญชีนั้นๆ

<ผู้ว่าแบงก์ชาติขออภัย กระบวนการปราบบัญชีม้า ยันไม่กระทบภาพใหญ่>

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาชี้แจงกรณีมาตรการระงับธุรกรรมชั่วคราว ว่าเป็นการยกระดับการจัดการบัญชีม้า เพื่อป้องกันมิจฉาชีพ แต่มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่ยังย้ำว่าภาพรวมสถาบันการเงินยังมีสภาพคล่องและไม่มีปัญหาเรื่องเงินฝาก แม้ประชาชนจะถอนเงินเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนที่มีปัญหาธนาคารบางสาขาที่มีการถอนเงินสดมากขึ้น ซึ่งธนาคารมีการสำรองเงินสดเพียงพอ และพร้อมกระจายเงินในสาขาของธนาคาร มองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาเฉพาะจุด และไม่ได้ส่งผลกระทบในภาพใหญ่

“ต้องขออภัยที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้สุจริตที่ได้รับผลกระทบ เพราะเข้าใจประชาชนทำมาค้าขาย ก็ค้าขายได้ไม่ง่าย ก็มีการนำเงินไปหมุนต่างๆ เมื่อธุรกรรมถูกระงับ ต้องขออภัยในความเดือดร้อนที่สร้างความลำบากให้กับคนที่สุจริต แต่อยากจะขอฝากหากไม่ดำเนินมาตรการอาจเกิดความเสียหายจากการถูกหลอกลวง ซึ่งผู้เสียหายได้รับผลกระทบมากจริงๆ จึงเข้าใจหัวอกคนทำงานและเก็บเงินมาตลอด เพราะเรื่องมิจฉาชีพเป็นปัญหาใหญ่ หากปล่อยไว้และไม่จัดการจะสร้างผลข้างเคียงสูง บ่นกันว่าเศรษฐกิจไม่ฟื้น คนลำบาก รายได้ไม่มี ท่องเที่ยวไม่ฟื้น คนจีนไม่มา สาเหตุมาจากความไม่ปลอดภัย เพราะคนไปทำเรื่องมิจฉาชีพมากขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ธปท. ปลดล็อกระยะเวลาในการขอระงับธุรกรรมให้เร็วขึ้น โดยให้ทำเสร็จภายใน 4 ชั่วโมง หรือช้าสุดอาจภายใน 1 วัน ให้ประชาชนสามารถชี้แจงเพื่อขอปลดล็อกได้

ด้านคุณชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ กล่าวว่าการโอนเงินไปมาระหว่างบัญชีของเจ้าของบัญชีเอง แล้วถูกระงับบัญชีนั้น ไม่ใช่สาเหตุของการระงับบัญชี และเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือเป็นเฟกนิวส์ (Fake News) โดยปัจจุบัน หลายหน่วยงานกำลังทำงานร่วมกัน ทั้งการปรับปรุงมาตรการ และกระบวนการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีการสื่อสารที่ค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมาเกี่ยวกับการปรับมาตรการ และแนวทางการดำเนินงานร่วมกันระหว่างทีมงานหลายฝ่าย หน่วยงานที่ร่วมมือกัน ได้แก่ ศูนย์ต่อต้านการหลอกลวงทางการเงินออนไลน์ (AOC), เจ้าหน้าที่ตำรวจ, และธนาคารพาณิชย์

การดำเนินงานนี้มีวัตถุประสงค์ที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างสองเป้าหมายหลักการช่วยเหลือเหยื่อ และพยายามกักเงินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดให้ได้มากที่สุด และการลดผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์ให้มีน้อยที่สุด และยืนยันว่าหากเป็นบัญชีสุจริตจริงๆ นั้น ธนาคารจะมีการตรวจสอบข้อมูล และหากเห็นว่าไม่เป็นบัญชีที่น่าสงสัย ก็จะดำเนินการปลดระงับบัญชีให้โดยอัตโนมัติ อยู่แล้ว กระบวนการนี้ได้มีการดำเนินการไปแล้วตั้งแต่วันอาทิตย์ ตามที่ท่านปลัดได้แถลงไว้ การปลดระงับจะเกิดขึ้นไม่ว่าเจ้าของบัญชีจะโทรศัพท์มาแจ้งที่ AOC หรือไม่ก็ตาม ส่วนในกรณีที่บัญชีถูกกวาดเข้ามา และถูกระงับบัญชีไปแล้ว หากมีการแจ้งเรื่องเข้ามา จะพยายามดำเนินการปลดบัญชีนั้นให้เร็วที่สุด

<ธนาคารเตือน “ถอนเงินแทนคนอื่น” อาจถูกมิจฉาชีพฉวยโอกาสอ้างเป็นบัญชีม้า>

ภายหลังจากผู้ว่า ธปท. ออกมาชี้แจง ด้านธนาคารกรุงไทย ก็ยังได้ออกมาเตือนประชาชน ภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศแจ้งถึงความเสี่ยงจากการ “ถอนเงินแทนคนอื่น” ซึ่งอาจถูกมิจฉาชีพฉวยโอกาสนำไปใช้เป็นช่องทางในการกระทำผิดกฎหมาย อาจรับเคราะห์กลายเป็น ‘บัญชีม้า’ โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะกรณีที่มีบุคคลไม่รู้จักโอนเงินเข้าบัญชีของเรา แล้วขอให้ช่วยถอนเงินสดออกมาให้ หากบัญชีที่โอนเงินเข้ามาเป็น ‘บัญชีม้า’ หรือใช้ในการกระทำผิด เช่น คดีฉ้อโกงและฟอกเงิน ผู้ที่ถอนเงินแทนก็อาจถูกดำเนินคดีหรือกลายเป็นผู้ต้องสงสัยได้ทันที

กรุงไทย แนะนำว่าประชาชนควรปฏิเสธการช่วยเหลือถอนเงินแทนผู้อื่นทุกกรณี เพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีของตนเองตกเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการมิจฉาชีพ พร้อมแนะนำแนวทางง่ายๆ ว่า “ไม่ถอนเงินแทนใคร บัญชีปลอดภัยแน่นอน” เพื่อสร้างเกราะป้องกันความเสี่ยงและรักษาความปลอดภัยทางการเงินของตนเองในระยะยาว

<ก.ล.ต.ช่วยอีกทาง อายัดบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัล>

ด้านคุณเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการและโฆษกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวถึงการจัดการปัญหาบัญชีม้าที่ผู้กระทำผิดมักใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางในการถ่ายเทเงินที่ได้จากการฉ้อโกงอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ซึ่ง ก.ล.ต. ได้ทำงานร่วมกับคณะทำงานที่ดูแลปัญหาบัญชีม้า อาทิ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), ธนาคารแห่งประเทศไทย, กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) เชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีม้า (บัญชีดำ/บัญชีเทา) กับหน่วยงานภาครัฐเพื่อปิดกั้นและสกัดกั้น และกำหนดนโยบายและปัจจัยในการพิจารณาบัญชีต้องสงสัยเพิ่มเติม นอกเหนือจากข้อมูลที่ได้รับจากผู้เสียหาย โดยสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีหน้าที่ระงับธุรกรรมและรายงานกรณีที่พบความผิดปกติ

โดยในปี 2568 ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลได้อายัดบัญชีต้องสงสัยไปแล้วกว่า 31,216 บัญชี มูลค่าทรัพย์สินรวมประมาณ 229 ล้านบาท โดยการอายัดเน้นสกัดกั้นตั้งแต่ต้นทางในบัญชีธนาคารก่อนแปลงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล และแม้สินทรัพย์ดิจิทัลสามารถโอนออกได้รวดเร็ว ทำให้การอายัดทำได้ยาก แต่มีการกำหนดนโยบายตรวจสอบบัญชีต้องสงสัยเพิ่มเติม และสถาบันการเงินต้องระงับธุรกรรมและรายงานธุรกรรมผิดปกติทันที ทั้งนี้ เมื่อมีการอายัดบัญชีดำจะถูกอายัดทรัพย์สินทั้งหมด แต่หากเป็นธุรกรรมที่น่าสงสัยอาจอายัดเฉพาะส่วน

การอายัดสามารถทำได้ตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือตามกฎหมาย ปปง. หากมีธุรกรรมที่น่าสงสัย โดยเฉพาะการเร่งดำเนินการกับบัญชีม้าที่เปิดทิ้งไว้แม้จะยังไม่มีสินทรัพย์ เพื่อป้องกันการถูกนำไปใช้ในอนาคต

<อายัดบัฐชีม้าแล้ว 2.8 ล้านบัญชี มูลค่าความเสียหายเหลือ 5,651 ล้านบาท>

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าธปท. ยอมรับว่าภัยการเงินที่รุนแรงขึ้น แต่ไม่ใช่เฉพาะที่ไทยแต่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งหากดูความเสียหายจากภัยคุกคามสูงถึง 1 ล้านราย คิดเป็นมูลค่า 9.8 หมื่นล้านบาท

โดย ธปท.ได้มีการร่วมมือกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง แต่การจัดการและแก้ไขปัญหามีความท้าทาย โดยเฉพาะการจัดการ “บัญชีม้า” พบว่าการจัดการ “ต่อเส้นเงิน” ตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ภัยไซเบอร์ ที่จะช่วยกักเงิน ซึ่งมีผลต่อผู้บริสุทธิ์ในวงกว้างกว่าที่คาด ธปท. จึงร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) ปรับกระบวนการปลดล็อกการระงับบัญชี และปรับปรุงกลไกให้กระทบผู้สุจริตภายในสิ้นเดือนนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับร้านค้าและประชาชน

สำหรับเรื่อง Digital Finance จะต้องชั่งหนักระหว่างความเสี่ยงและการเข้าถึง โดยจะมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้านด้วยกัน คือเทคโนโลยี ธรรมาภิบาล (Governance) และข้อมูลและการสร้างแรงจูงใจ โดยในส่วนของเทคโนโลยี แม้ว่าจะเปิดโอกาสและสร้างบทบาทต่อเศรษฐกิจ แต่เทคโนโลยีอย่างเดียวไม่เพียงพอและยั่งยืน

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการกำกับดูแล หรือ Regulatory Framework ซึ่งเป็นการสร้างรั้วป้องกันความเสี่ยง (Guardrail) ที่ส่งเสริมไปพร้อมๆ กัน ขณะเดียวกันข้อมูลและการสร้างแรงจูงใจก็เป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลักดันดิจิทัล เพื่อให้ตอบโจทย์ได้อย่างทั่วถึง ซึ่ง ธปท. เพิ่มประสิทธิผลของการจัดการภัยการเงินอย่างครบวงจร ตั้งแต่การป้องกัน ตรวจจับ และจัดการความผิดปกติจากการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยการยกระดับการพัฒนาระบบตรวจจับที่แม่นยำและทันท่วงที โดยใช้ข้อมูลการทำธุรกรรมระหว่างธนาคาร และระบบฐานข้อมูลกลางการทุจริต หรือ Central Fraud Registry (CFR) ตลอดจน กำหนดมาตรฐานให้ผู้ให้บริการมีกระบวนการป้องกัน ตรวจจับ รับมือกับภัยการเงิน เช่น มาตรฐาน Mobile Banking Security และมาตรการจัดการบัญชีม้าทั้งระบบ

และในช่วงที่ผ่านมา มาตรการต่างๆ เริ่มเห็นผลเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง เช่น การโจรกรรมแบบไม่ได้รับอนุญาต (Unauthorized Fraud) ในรูปแบบ “แอปดูดเงิน” ทยอยหมดไปตั้งแต่ต้นปี 2568 จากที่เคยมีถึง 7,444 กรณีในปี 2566 ขณะเดียวกัน ได้จัดการบัญชีม้าไปแล้วกว่า 2.8 ล้านบัญชี ซึ่งก็มีส่วนทำให้ความเสียหายของกรณีโดนหลอกให้โอนเอง ลดลงจากจุดสูงสุดที่ 8,950 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ของปี 2567 เป็น 5,651 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปี 2568

<สภาผู้บริโภคแนะตัดตอนบัญชีม้า ไม่ให้โอนเข้า–ออก ไปบัญชีผู้บริสุทธิ์>

คุณสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค บอกว่าเห็นด้วยกับ ธปท. ในการควบคุมบัญชีม้าที่ห้ามโอนเงินเข้าและเงินออกจากบัญชี แต่ในปัจจุบันบัญชีม้ายังสามารถออกมาซื้อสินค้าปกติได้ สะท้อนว่าธนาคารพาณิชย์ยังคุมเข้มบัญชีม้าไม่ได้

สภาผู้บริโภค มีความเห็นว่าธนาคารพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควร กวาดล้างบัญชีม้าอย่างจริงจัง โดยระงับบัญชีที่เป็นต้นทางของเกิดปัญหา เพื่อไม่ให้สามารถโอนเข้าหรือโอนออกได้ และเร่งแก้ปัญหาไม่ให้ประชาชนและร้านค้าที่อยู่ปลายทางได้รับผลกระทบ ตลอดจนการวางแนวทางตรวจสอบและปลดล็อกบัญชีของประชาชนและร้านค้าที่ทำธุรกิจด้วยความบริสุทธิ์อย่างรวดเร็ว

อีกทั้งธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งจะสามารถทราบถึงพฤติกรรมการใช้เงินของลูกค้าอย่างละเอียด เนื่องจากที่ผ่านมามีการออกมาตรการจำกัดการโอนเงินสำหรับกลุ่มเปราะบาง ซึ่งสะท้อนได้ว่าธนาคารจะทราบถึงการทำธุรกรรมต่างๆ จึงสามารถตรวจสอบข้อมูลแต่ละบัญชีได้อย่างละเอียดและเป็นวิธีที่สามารถจัดการบัญชีม้าได้อย่างแท้จริง ยกตัวอย่าง หากลูกค้าไม่เคยใช้เงินจำนวน 1 ล้านบาท แต่ได้มีการโอนเงิน 1 ล้านบาท ธนาคารควรรีบระงับธุรกรรมนั้นทันที ทั้งหมดจึงช่วยสนับสนุนลูกค้าได้จริง

ด้านคุณนฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ฝ่ายพิทักษ์สิทธิผู้บริโภคมองว่าบัญชีม้าส่วนใหญ่เป็นบัญชีบุคคล การที่บัญชีเงินฝากของผู้ถูกอายัดเนื่องจากตำรวจไซเบอร์แกะรอยตามเส้นทางเงินเนื่องจากมีการแจ้งความ ถึงแม้บัญชีเงินฝากบุคคลถูกอายัดเพราะมีเส้นเงินที่บัญชีม้าโอนเข้ามา แต่ปัญหานี้เกิดเพราะไม่มีระบบการแจ้งวัตถุประสงค์ยืนยันการทำธุรกรรมแต่ละบัญชีเป็นการเฉพาะ ตั้งแต่ต้นจึงทำให้เกิดการหว่านแห เพราะบางคนมีถึง 3 บัญชีออมทรัพย์ของแบงก์เดียวกัน แต่ละบัญชีมีวัตถุประสงค์การใช้ต่างกัน เช่น บัญชี เงินออม บัญชีเงินเดือนค่าใช้จ่าย และบัญชีเพื่อใช้รับเงินค่าสินค้า เป็นต้น

ดังนั้น จึงขอเสนอให้ ธปท.ออกกฎเกณฑ์ที่เข้มข้นในกระบวนการเปิดบัญชีเงินฝากตั้งแต่ต้นทาง โดยกำหนดให้บุคคลทุกรายต้องแจ้งจุดประสงค์การทำธุรกรรมแต่ละบัญชีอย่างชัดเจน เช่น บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ใช้โอนเงินเข้าออกรายวันเป็นปกติ, รับเงินเดือน, หักค่าน้ำไฟ ระบบสาธารณูปโภค เป็นต้น

“สิ่งที่สะท้อนให้เห็นได้ในตอนนี้คือ การเงินดิจิทัล แม้จะสร้างความสะดวกและโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงทางการเงิน ที่นอกจากจะมีผลดีในการบูสต์เศรษฐกิจให้ไปข้างหน้าด้วยเทคโนโลยี แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง โดยเฉพาะภัยนอกระบบ ธุรกิจสีเทาที่การจะขจัดให้หมดไปไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นการจะสร้างสมดุล เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างมั่นใจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและดูแลต้องพัฒนาทั้งเทคโนโลยี การกำกับดูแล และข้อมูล อุดช่องโหว่ที่จะเป็นความเสี่ยงให้เกิดภัยต่อประชาชน เพราะในท้ายที่สุดจะส่งผลไปยังเศรษฐกิจในภาพรวมด้วยเช่นกัน”

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles