คนไทยติดดื่มกาแฟเพิ่มเกือบ 90% จากต่ำกว่า 190 ขึ้นเฉลี่ยปีละ 340 แก้ว คนไทยยังเปิดร้านกาแฟคึกคักเกือบ 9% ในเดือนเดียว รับคนไทยอัพเกรดรสนิยมหันไปดื่มกาแฟสดมากกว่ากาแฟสำเร็จรูปพร้อมดื่ม

คนไทยติดดื่มกาแฟ เพิ่มเกือบ 90% จากต่ำกว่า 190 ขึ้นเฉลี่ยปีละ 340 แก้ว คนไทยยังเปิดร้านกาแฟคึกคักเกือบ 9% ในเดือนเดียว รับคนไทยอัพเกรดรสนิยมหันไปดื่มกาแฟสดมากกว่ากาแฟสำเร็จรูปพร้อมดื่ม

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้วิเคราะห์ธุรกิจดาวเด่นประจำเดือนมิถุนายน 2568 พบว่า อุตสาหกรรมกาแฟในไทย เติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับแนวโน้มตลาดกาแฟโลกปี 2567 มีมูลค่า 2.69 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดภายในปี 2573 มีมูลค่าพุ่งถึง 3.69 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะคนไทยบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้นมาก จากเดิมเฉลี่ย 180 แก้ว/คน/ปี รวมเป็นกว่า 340 แก้ว/คน/ปี ส่งผลให้มูลค่าการตลาดในไทยปี 2568 แตะระดับ 65,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ถึง 8.33% ประกอบกับผู้บริโภคได้เปลี่ยนพฤติกรรมจากการดื่มกาแฟสำเร็จรูปไปสู่กาแฟสด สะท้อนถึงรสนิยมของคนยุคใหม่ที่ต้องการดื่มด่ำคุณภาพ รสชาติ และประสบการณ์ของกาแฟที่สูงขึ้น

สำหรับนิติบุคคลในอุตสาหกรรมกาแฟสามารถ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มผลิต (การผลิตกาแฟ และการผลิตเครื่องดื่มกาแฟ) และ 2.กลุ่มขายส่ง/ปลีก (ขายส่งกาแฟชาโกโก้, ขายปลีก/ส่งเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และบริการเครื่องดื่มที่ไม่มีแอกอฮอล์เป็นหลักในร้าน) ข้อมูลของกรม พบว่า มีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 6,361 ราย (กลุ่มผลิต 811 ราย และ กลุ่มขาย 5,550 ราย) มูลค่าทุนจดทะเบียน 39,329 ล้านบาท (กลุ่มผลิต 10,562 ล้านบาท และกลุ่มขาย 28,767 ล้านบาท)

สำหรับช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในกลุ่มกาแฟจำนวน 415 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 8.92% โดยทั้งหมดเป็นธุรกิจขนาดเล็ก และกว่า 33% ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ สะท้อนความนิยมในตลาดกาแฟที่ยังมีแรงขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี พบว่า รายได้รวมของอุตสาหกรรมอยู่ในระดับทรงตัว แต่กำไรสุทธิเริ่มลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิต ซึ่งต้องเผชิญกับความผันผวนของต้นทุนและการแข่งขันที่รุนแรง โดยรายได้รวมของอุตสาหกรรมกาแฟในปี 2567 อยู่ที่ 206,751 ล้านบาท (กลุ่มผลิต 37,217 ล้านบาท และกลุ่มขาย 169,534 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 3,453 ล้านบาท คิดเป็น 1.70% เมื่อเทียบกับปี 2566

ร้านกาแฟในไทยจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ 1.Franchise/Chains เป็นธุรกิจที่มีเครือข่ายขนาดใหญ่ และเป็นทางเลือกของผู้ที่อยากเปิดร้านกาแฟแต่ยังไม่มีประสบการณ์ และ2.Independent เป็นธุรกิจที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 94.4% ของธุรกิจกาแฟในประเทศ โดยเป็นการบริหารธุรกิจโดยเจ้าของร้านเองอาจมีสาขาในแบรนด์ประมาณ 1-3 สาขา อาทิ Stand Alone, Truck และ Kiosk

ข้อมูลยังพบว่า ธุรกิจร้านกาแฟแบบ Franchise/Chain มีความสามารถในการทำกำไรได้ดี โดยมีกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) เฉลี่ยที่ 17.5% และมีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ส่วนร้านกาแฟแบบ Independent แม้จะมีภาพลักษณ์และคุณภาพโดดเด่น แต่มีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยที่ 4.6% สะท้อนความท้าทายในการแข่งขันที่มีผู้เล่นในกลุ่มนี้จำนวนมาก การรักษาฐานลูกค้าและการสร้าง Story ให้ธุรกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ธุรกิจกลุ่มนี้ต้องใส่ใจ

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles