ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC เปิดเผยรายงานผลการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC หรือ 3 จังหวัดภาคตะวันออก พบว่าการประเมินสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยของจังหวัดระยอง ซึ่งเป็น 1 ใน 3 จังหวัดภาคตะวันออกนั้น ตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดระยองมีตลาดบ้านจัดสรรเป็นหลัก การเปิดตัวใหม่โดยส่วนใหญ่จะเป็นบ้านจัดสรร และบ้านจัดสรรมีการเปิดตัวใหม่อย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส ส่งผลค่าเฉลี่ยรายไตรมาสระหว่างปี 2566 และ ไตรมาส 1 ปี 2567 มียอดขายได้ใหม่เฉลี่ยไตรมาสละประมาณ 1,500 หน่วย ประกอบด้วยการขายบ้านเดี่ยว 600 หน่วย รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์ 550 หน่วย และบ้านแฝด 350 หน่วย
แต่ด้วยภาวะยอดขายบ้านจัดสรรที่มีทิศทางทางปรับตัวลงได้ โดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์ ทำให้ผู้ประกอบการลดการเปิดตัวบ้านจัดสรรใหม่ลงในช่วงที่ผ่านมา พบว่ามีการเปิดขายใหม่เฉลี่ยไตรมาสละ 1,000 หน่วย และเปิดใหม่ในประเภทบ้านเดี่ยวมากสุด ซึ่งมีจำนวนใกล้เคียงกับที่ขายได้ในแต่ละไตรมาส แต่สำหรับบ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์มีการเปิดตัวใหม่น้อยลงมาก จึงทำให้มีหน่วยเหลือขายในภาพรวมที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ไตรมาส สำหรับไตรมาสล่าสุดลดลงไปถึง 21% ขณะที่อาคารชุดมีการเปิดใหม่เป็นรอบๆ ไม่ต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ไตรมาสที่ผ่านมามีการเปิดหน่วยขายใหม่เพียง 1,211 หน่วย แต่มียอดขายรวมประมาณ 1,039 หน่วย และมีทิศทางที่ลดลง แต่เมื่อรวมกับหน่วยเหลือขายที่ค้างมาจากปีก่อนๆ ก็ยังทำให้มียอดหน่วยเหลือขายถึง 920 หน่วย ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการขายอีก 1 ปีกว่าๆ จึงจะขายหมด
ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในระยองในภาพรวมนั้นเป็นตลาดที่ยอดขายบ้านจัดสรรมียอดขายลดลงใน 2567 แต่ไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะอุปทานส่วนเกินมากเกินไป เนื่องจากผู้ประกอบการปรับตัวโดยลดการเติมอุปทานใหม่เข้าตลาด สำหรับตลาดอาคารชุด เป็นตลาดที่ยังคงมีการตอบรับของอุปสงค์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ปัจจุบันมีอุปทานที่มียังเกินความสามารถในการดูดซับของอุปสงค์จึง ควรเว้นช่วงในการเติมอุปทานอาคารชุดออกไปอีกระยะหนึ่งเพื่อให้ตลาดค่อยๆ ดูดซับอุปทานไปก่อน
ในรายละเอียดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจังหวัดระยอง เริ่มจากที่อยู่อาศัยรวมที่เสนอขาย มีจำนวน 10,549 หน่วย ลดลงร้อยละ –20.8 มีมูลค่า 29,105 ล้านบาท โดยโครงการอาคารชุดมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 10.0 เป็นจำนวน 1,050 หน่วย ลดลงร้อยละ -18.0 มูลค่ารวม 3,606 ล้านบาท และโครงการบ้านจัดสรรมีสัดส่วนถึงร้อยละ 90.0 เป็นจำนวน 9,499 หน่วย ลดลงร้อยละ -21.1 มูลค่ารวม 25,499 ล้านบาท
สำหรับที่อยู่อาศัยรวมที่เปิดขายใหม่ พบว่า เป็นโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด มีจำนวน 879 หน่วย ลดลงร้อยละ -36.9 มูลค่า 2,296 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเปิดขายเป็นประเภทบ้านแฝดประมาณร้อยละ 28.7 บ้านเดี่ยวประมาณร้อยละ 51.1 และทาวน์เฮ้าส์ประมาณร้อยละ 20.3 ทำให้ที่อยู่อาศัยรวมที่ขายได้ใหม่ มีจำนวน 1,314 หน่วย ลดลงร้อยละ –27.2 มูลค่า 3,486 ล้านบาท อัตราการดูดซับ ร้อยละ 4.2 ต่อเดือน โดยโครงการอาคารชุดมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 10.0 เป็นจำนวน 130 หน่วย ลดลงร้อยละ -37.5 มูลค่ารวม 367 ล้านบาท อัตราการดูดซับ ร้อยละ 4.1 ต่อเดือน และโครงการบ้านจัดสรรมีสัดส่วนถึงร้อยละ 90.0 เป็นจำนวน 1,184 หน่วย ลดลงร้อยละ -25.9 มูลค่ารวม 3,119 ล้านบาท อัตราการดูดซับ ร้อยละ 4.2 ต่อเดือน
ด้านที่อยู่อาศัยรวมเหลือขายมีจำนวน 9,235 หน่วย ลดลงร้อยละ -19.8 มูลค่า 25,619 ล้านบาท โดยโครงการอาคารชุดมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 10.0 เป็นจำนวน 920 หน่วย ลดลงร้อยละ -14.2 มูลค่ารวม 3,239 ล้านบาท และโครงการบ้านจัดสรรมีสัดส่วนร้อยละ 90.0 เป็นจำนวน 8,315 หน่วย ลดลงร้อยละ -20.3 มูลค่า 22,381 ล้านบาท
ด้านทำเลอาคารชุดที่มีหน่วยขายได้ใหม่สูงสุดที่สุด คือ 1.ทำเลเมืองระยอง มียอดขาย 71 หน่วย มูลค่า 148 ล้านบาท และมีอัตราการดูดซับ ร้อยละ 4.7 ต่อเดือน 2.ทำเลนิคมฯ มาบตาพุด มียอดขาย 57 หน่วย มูลค่า 185 ล้านบาท และมีอัตราการดูดซับ ร้อยละ 3.6 ต่อเดือน อย่างไรก็ตาม ทำเลอาคารชุดที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุด คือ 1.ทำเลนิคมฯ มาบตาพุด มีหน่วยเหลือขาย 469 หน่วย มูลค่า 1,666 ล้านบาท 2.ทำเลเมืองระยอง มีหน่วยเหลือขาย 428 หน่วย มูลค่า 904 ล้านบาท
ทำเลบ้านจัดสรรที่มีหน่วยขายได้ใหม่สูงที่สุด 3 ลำดับแรก คือ 1.ทำเลนิคมฯ อมตะซิตี้-อีสเทิร์น มียอดขาย 443 หน่วย มูลค่า 919 ล้านบาท และอัตราการดูดซับ ร้อยละ 3.9 ต่อเดือน 2.ทำเลนิคมฯ เหมราช มียอดขาย 352 หน่วย มูลค่า 829 ล้านบาท และอัตราการดูดซับ ร้อยละ 5.0 ต่อเดือน และ 3.ทำเลนิคมฯ มาบตาพุด มียอดขาย 216 หน่วย มูลค่า 752 ล้านบาท และอัตราการดูดซับ ร้อยละ 3.4 ต่อเดือน ในทางตรงกันข้าม ทำเลบ้านจัดสรรที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุด 3 ลำดับแรก คือ 1.ทำเลนิคมฯ อมตะซิตี้-อีสเทิร์น มีหน่วยเหลือขาย 3,354 หน่วย มูลค่า 6,938 ล้านบาท 2.ทำเลนิคมฯ เหมราช ซึ่งมีหน่วยเหลือขาย 1,998 หน่วย มูลค่า 4,540 ล้านบาท 3.ทำเลนิคมฯ มาบตาพุด ซึ่งมีหน่วยเหลือขาย 1,885 หน่วย มูลค่า 6,369 ล้านบาท