ผู้ว่าแบงก์ชาติ ยอมรับภัยการเงินที่รุนแรงขึ้น พบเสียหายมูลค่า 9.8 หมื่นล้าน เผยอายัดบัฐชีม้าแล้ว 2.8 ล้านบัญชี มูลค่าเสียหายเหลือ 5,651 ล้าน เร่งปรับกระบวนการปลดล็อกการระงับบัญชี

ผู้ว่าแบงก์ชาติ ยอมรับภัยการเงินที่รุนแรงขึ้น พบเสียหายมูลค่า 9.8 หมื่นล้าน เผยอายัดบัฐชีม้าแล้ว 2.8 ล้านบัญชี มูลค่าเสียหายเหลือ 5,651 ล้าน เร่งปรับกระบวนการปลดล็อกการระงับบัญชี

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน “BOT Symposium 2025 เท่าทันภัยการเงิน Towards Safer and More Inclusive Digital Finance” ว่า ในทศวรรษที่ผ่านมาดิจิทัลมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องผ่าน “Fast Payment” หรือบริการ ”พร้อมเพย์“ ที่มีจำนวนผู้ใช้ถึง 70% หรือ 76 ล้านราย ซึ่งมียอดโอนเงินราว 1.44 แสนล้านบาท โดยการพัฒนาดิจิทัลยังเปิดโอกาสแรงงาน และครัวเรือนเข้าถึงบริการที่ต้นทุนต่ำ และแรงงานสามารถโอนเงินกลับบ้านได้เร็วขึ้น

อย่างไรก็ตาม โอกาสมาพร้อมกับความท้าทายและภัยการเงินที่รุนแรงขึ้น ซึ่งไม่เฉพาะที่ไทยแต่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งหากดูความเสียหายจากภัยคุกคามสูงถึง 1 ล้านราย คิดเป็นมูลค่า 9.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งล่าสุด ปท.ไดเ้ร่วมมือกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง แต่การจัดการและแก้ไขปัญหามีความท้าทาย โดยเฉพาะการจัดการ “บัญชีม้า” พบว่าการจัดการ “ต่อเส้นเงิน” ตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ภัยไซเบอร์ ที่จะช่วยกักเงิน ซึ่งมีผลต่อผู้บริสุทธิ์ในวงกว้างกว่าที่คาด ธปท.จึงร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) ปรับกระบวนการปลดล็อกการระงับบัญชี และปรับปรุงกลไกให้กระทบผู้สุจริตภายในสิ้นเดือนนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับร้านค้าและประชาชน

ทั้งนี้ Digital Finance จะต้องชั่งหนักระหว่างความเสี่ยงและการเข้าถึง โดยจะมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้านด้วยกัน คือ 1.เทคโนโลยี 2.ธรรมาภิบาล (Governance) และ 3.ข้อมูลและการสร้างแรงจูงใจ โดยในส่วนของเทคโนโลยี แม้ว่าจะเปิดโอกาสและสร้างบทบาทต่อเศรษฐกิจ แต่เทคโนโลยีอย่างเดียวไม่เพียงพอและยั่งยืน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการกำกับดูแล หรือ Regulatoty Framework ซึ่งเป็นการสร้างรั้วป้องกันความเสี่ยง (Guardrail) ที่ส่งเสริมไปพร้อม ๆ กัน ขณะเดียวกันข้อมูลและการสร้างแรงจูงใจก็เป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลักดันดิจิทัล เพื่อให้ตอบโจทย์ได้อย่างทั่วถึง

อย่างไรก็ดี ธปท.เพิ่มประสิทธิผลของการจัดการภัยการเงินอย่างครบวงจร ตั้งแต่การป้องกัน ตรวจจับ และจัดการความผิดปกติจากการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยการยกระดับการพัฒนาระบบตรวจจับที่แม่นยำและทันท่วงที โดยใช้ข้อมูลการทำธุรกรรมระหว่างธนาคาร และระบบฐานข้อมูลกลางการทุจริต หรือ Central Fraud Registry (CFR) รวมทั้ง กำหนดมาตรฐานให้ผู้ให้บริการมีกระบวนการป้องกัน ตรวจจับ รับมือกับภัยการเงิน เช่น มาตรฐาน Mobile Banking Security และมาตรการจัดการบัญชีม้าทั้งระบบ

ช่วงที่ผ่านมา มาตรการต่าง ๆ เริ่มเห็นผลเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง เช่น การโจรกรรมแบบไม่ได้รับอนุญาต (Unauthorized Fraud) ในรูปแบบ “แอปดูดเงิน” ทยอยหมดไปตั้งแต่ต้นปี 2568 จากที่เคยมีถึง 7,444 กรณีในปี 2566 ขณะเดียวกัน ได้จัดการบัญชีม้าไปแล้วกว่า 2.8 ล้านบัญชี ซึ่งก็มีส่วนทำให้ความเสียหายของกรณีโดนหลอกให้โอนเอง ลดลงจากจุดสูงสุดที่ 8,950 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ของปี 2567 เป็น 5,651 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปี 2568

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles