กกร.ค้านขึ้นค่าแรงทั่วประเทศ หวั่นสินค้าราคาพุ่ง เพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อเป็น 1.5-2.5%

415
0
Share:
กกร.

ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั้งปีมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในกรอบ 1.5-2.5% จากเดิม 1.2-2% โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจเร่งตัวขึ้นแตะระดับ 3% ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตลดลงกว่าที่ประมาณการได้ หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นมาก อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมถึงราคาสินค้าวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเริ่มส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพและกำลังซื้อของประชาชน ดังนั้น ภาครัฐจึงจำเป็นต้องเตรียมการแก้ปัญหาราคาสินค้าแพงเพื่อไม่ให้อัตราเงินเฟ้อเร่งขึ้นมาก “ถ้าเศรษฐกิจดี คนมีรายได้ เงินเฟ้อสูงแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา”

ขณะที่เศรษฐกิจไทยปี 65 ยังคงประมาณการว่าจะขยายตัวได้ในกรอบ 3-4.5% ส่วนการส่งออก คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 3-5% โดยเศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้เนื่องจากสามารถบริหารจัดการการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องมีการ Lockdown อย่างไรก็ดี ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีโอกาสส่งผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจโลกและไทยในหลายมิติหากสถานการณ์ลุกลาม

ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร.มีข้อเสนอต่อภาครัฐ จากสถานการณ์การปรับราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะในหมวดอาหารสด และพลังงาน ที่มีการทยอยปรับราคาสูงขึ้น ซึ่งกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนอย่างมาก ซึ่งจะสะท้อนผ่านกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อาจฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ ดังนี้

1) ขอความร่วมมือภาคเอกชนในการตรึงราคาสินค้า บริหารจัดการสต็อกสินค้าและวัตถุดิบที่มีอยู่เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาออกไปก่อน เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนในสถานการณ์ปัจจุบัน

2) ขอให้ภาครัฐตรึงราคาพลังงาน เชื้อเพลิง และก๊าซหุงต้มภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เพื่อช่วยบรรเทาภาระต้นทุนการผลิตและการขนส่งให้กับผู้ประกอบการ

3) ขอให้ภาครัฐอำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าประเทศ โดยปรับมาตรการ Test&Go ให้ลดจำนวนครั้งการตรวจ RT-PCR ให้เหลือเพียงวันที่เดินทางถึงไทย และให้ใช้วิธีการส่งผลตรวจ ATK ผ่านระบบ หลังการเดินทางเข้าประเทศ 5 วัน แทนการตรวจด้วย RT-PCR เพื่อส่งเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยวให้กลับมาอีกครั้ง

นอกจากนี้ การสนับสนุนกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพในสถานประกอบการซึ่งหากภาครัฐให้การสนับสนุน โดยผู้ประกอบการสามารถนำค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพในสถานประกอบการไปลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า หรือมีมาตรการสนับสนุนอื่นๆ จะเป็นประโยชน์ทั้งส่งเสริมการป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ให้กับบุคลากร และลดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาพยาบาลของหน่วยงานภาครัฐในอนาคต

กกร.ขอมีส่วนร่วมในคณะกรรมการ ศบค. เพื่อเสนอแนะและให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการในสถานการณ์โควิด-19 ให้มาตรการที่ออกมามีประสิทธิภาพด้านสาธารณสุขควบคู่ไปกับด้านเศรษฐกิจ ทั้งนี้กรณีผู้ใช้แรงงานเสนอขอปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น อยากให้มีการพิจารณาเป็นรายจังหวัด เนื่องจากมีเงื่อนไขต่างกัน บางพื้นที่เป็นเขตเกษตรกรรม บางพื้นที่เป็นเขตอุตสาหกรรม ค่าครองชีพก็ต่างกัน ไม่ควรกำหนดให้มีการปรับขึ้นเหมือนกันทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละจังหวัดมีคณะกรรมการไตรภาคีที่จะพิจารณาในเบื้องต้นให้ได้ข้อสรุปกันก่อน

สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยลดค่าครองชีพของภาครัฐควรมีการปรับปรุงเงื่อนไขให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เช่น โครงการช้อปดีมีคืน ควรขยายกรอบเวลาที่จะสิ้นสุดในวันที่ 15 ก.พ.ออกไปถึงสิ้นปี และเพิ่มวงเงินจากไม่เกิน 3 หมื่นบาท เป็นไม่เกิน 1 แสนบาท เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนที่มีเงินออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น