กรมควบคุมโรคย้ำฉีดวัคซีนไฟเซอร์ครบ 2 เข็ม มีภูมิคุ้มกันสู้พันธุ์เดลตาดีกว่าโอกาสเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

523
0
Share:

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงว่า สถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แนวโน้มผู้ป่วยหายมากกว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้มีผู้ป่วยหาย 10,075 คน ผู้ป่วยที่มีอาการหนักก็มีจำนวนลดลงเหลือ 2,687 คน สอดคล้องกับผู้ที่มีอาการหนักมากหรือใส่ท่อช่วยหายใจขณะนี้ 603 คน ผู้เสียชีวิต 73 คน ส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่ 9,727 คน ทั้งนี้ การระบาดของประเทศไทยมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่ต้องระวังพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งมีการตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ส่วนหน้าภาคใต้ อีกทั้งกรมควบคุมโรคได้ส่งวัคซีนลอตแรกแล้ว 500,000 โดส ในสัปดาห์นี้จะส่งอีก 500,000 โดส เพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดให้ได้รวดเร็วที่สุด สำหรับจังหวัดอื่นๆ ที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด คือ เชียงใหม่ ขอนแก่น นครศรีธรรมราช ตาก ระยอง และจันทบุรี

นพ.โอภาส กล่าวถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด-19 ว่า วันนี้มีการฉีดวัคซีน 915,956 โดส ยอดฉีดวัคซีนสะสมอยู่ที่ 68,503,058 โดส มีผู้ได้รับวัคซีนเข็ม 1 แล้วร้อยละ 54.2 และฉีดวัคซีนแล้ว 2 เข็ม ร้อยละ 38 เชื่อว่าภายในสัปดาห์หน้าจะเกินเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ที่ 70 ล้านโดส และจะฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ 100 ล้านโดส ไม่เกินต้นเดือนธันวาคมนี้ ทั้งนี้ ภายหลังจากการเปิดพื้นที่สีฟ้าไปแล้ว 4 จังหวัด เพื่อนำร่องการท่องเที่ยว ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ พังงา ระนอง และระยะถัดมาจะเปิดอีก 16 จังหวัด ในเดือนพฤศจิกายน โดยได้ส่งวัคซีนลงไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ในเดือนพฤศจิกายน จะมีวัคซีนเข้ามา 25 ล้านโดส ประกอบด้วย แอสตราเซเนกา 15 ล้านโดส และไฟเซอร์ 10 ล้านโดส ส่วนซิโนแวค คาดว่าจะฉีดได้อย่างเพียงพอให้กับประชาชนภายในเดือนนี้

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวต่อไปว่าการฉีดวัคซีนให้กับเด็กนักเรียนได้ดำเนินการไปตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม ขณะนี้ฉีดวัคซีนให้กับนักเรียนแล้ว 2 ล้านโดส สำหรับความกังวลในเรื่องของความปลอดภัยและประสิทธิภาพนั้น ในการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค พิจารณาแล้วว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่นำมาฉีดให้เด็กนักเรียนอายุ 12-18 ปี ต้องฉีด 2 เข็ม จึงจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่เพียงพอต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา ส่วนความกังวลเรื่องการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ผู้เชี่ยวชาญได้ประชุมหารือกันพบว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลข้างเคียง แต่อาการที่เกิดขึ้นนั้นค่อนข้างน้อย หากเทียบกับเด็กที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาแล้วเกิดการอักเสบทั่วร่างกาย (MIS-C) รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ อาการจากโรคจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าการฉีดวัคซีน อีกทั้งผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนมักจะหายเองได้ จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เข็ม 2 เด็กผู้ชายต่อไป ให้เป็นไปตามความสมัครใจ ขึ้นกับความประสงค์ของผู้ปกครองและนักเรียน รวมทั้งแนะนำให้งดออกกำลังกายหนักภายหลังได้รับวัคซีนเป็นเวลา 7 วัน หากมีภาวะใจสั่น หายใจไม่อิ่ม หอบเหนื่อย ให้รีบพบแพทย์

ทั้งนี้ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา กุมารแพทย์โรคหัวใจในเด็กได้สรุปเรื่องการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็ก ใช้คำจำง่ายว่า 3R 1. Real การเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังการฉีดวัคซีน mRNA โดยเฉพาะเข็ม 2 มีโอกาสเกิดมากขึ้นในเด็กผู้ชายอายุ 12-16 ปี 2. Rare ถึงแม้ว่าจะเกิด แต่โอกาสเกิดมี 6 ต่อ 100,000 คน ถ้าเปรียบเทียบกับเด็กที่ติดเชื้อโควิดแล้วเกิดการอักเสบทั่วร่างกาย รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 3. Recovery เด็กที่เกิดผลข้างเคียง อาการจะไม่มาก เจ็บหน้าอก เหนื่อยบ้าง ไม่รุนแรง ที่ผ่านมาเจอ 3-4 ราย จะหายได้เอง บางรายรักษาโดยการกินยาแก้อักเสบก็หายได้ โอกาสหายเองมีมากถึง 90% ถ้าเทียบกับการอักเสบของการติดเชื้อโควิด-19 โอกาสหายมีแค่ 50% คณะผู้เชี่ยวชาญจึงเห็นพ้องต้องกันว่าให้ฉีด 2 เข็ม แต่ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ปกครอง