กระทิงขวิด! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดทะยานหนาตากว่า 600 จุด

248
0
Share:

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 31,288 จุด +658 จุด หรือ +2.15% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,863 จุด +72 จุด หรือ +1.92% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,452 จุด +201 จุด หรือ +1.79% อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปรับลดลง -0.2%, -0.9% และ -1.6% ตามลำดับ โดยเฉพาะดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 จะคงดำดิ่งมากถึง -19% จากสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สาเหตุจากผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ในกลุ่มหุ้นธนาคาร และสถาบันการเงิน ประกาศออกมาเป็นไปตามคาดหมาย เช่น ธนาคารซิตี้กรุ๊ป ธนาคารเวลล์ส ฟาร์โก ในขณะที่เมื่อวานก่อนหน้านี้ ธนาคารเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค และธนาคารมอร์แกน สแตนลีย์ สร้างความผิดหวังจากผลประกอบการที่ย่ำแย่ นอกจากนี้ นักลงทุนประเมินโอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นสูงถึง 1% ของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา อาจเป็นไปได้น้อยลง หลังจากผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในหลายสาขากล่าวว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น 0.75% เป็นไปได้สูง จากในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ที่ 1.5%-1.75% นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐอเมริกาในคืนที่ผ่านมา พบว่า ยอดขายปลีกทั่วไปในมิถุนายนเพิ่มขึ้น 1% เกินคาดหมาย และดัชนีเบื้องต้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับเพิ่มขึ้น

ตลาดซื้อขายสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 98.16 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +2.38 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2.5% ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 101.60 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +2.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2.5% ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่งร่วงลงในรอบ 1 เดือน

เมื่อช่วงกลางสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่งดำดิ่งอย่างหนักถึง -27% และ -29% ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบจากราคาสถิติสูงสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลเข้าสู่ภาวะตลาดหมี หรือ Bear Market สมบูรณ์แบบ

ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ซึ่งถูกเทขายอย่างหนักมากถึง -10.73 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลนั้น ทำสถิติส่วนต่างราคาน้ำมันดิบที่ตกต่ำมากที่สุดอันดับ 3 นับตั้งแต่ราคาน้ำมันดิบดังกล่าวเริ่มทำการซื้อขายครั้งแรกเมื่อปี 1988 หรือในรอบ 34 ปี ส่วนต่างราคาน้ำมันดิบที่ทำสถิติดำดิ่งมากที่สุดในรอบ 1 วัน คือ -16.84 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม

สาเหตุจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ความคาดหวังที่จะเห็นซาอุดีอาระเบียปรับเพิ่มขึ้นกำลังการผลิตน้ำมันดิบทันทีเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ในขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเดินทางไปพบกับผู้นำสูงสุดซาอุดีอาระเบียในขณะนี้ ด้านภาวะตลาดน้ำมันดิบโลกยังคงอยู่ในสถานะตึงตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางนักลงทุนกังวลกับมาตรการล็อกดาวน์ และจำกัดการใช้ชีวิตของจีนแผ่นดินใหญ่ครั้งใหม่ เมื่อพบการระบาดของโรคโควิด-19 ในหลายมณฑลและเมืองสำคัญที่คาดว่ากระทบประชาชนถึง 30 ล้านคน ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันดิบจะลดลง นอกจากนี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับ 6 สกุลสำคัญ พุ่งทะยานแตะ 108.56 ทำสถิติแข็งค่าในรอบใกล้ 20 ปีอย่างต่อเนื่อง หรือตั้งแต่ตุลาคม 2002 ความกังวลกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย และกลุ่มโอเปกเปิดเผยรายงานความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2566 พบว่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่วันละ 2.7 ล้านบาร์เรล เมื่อเปรียบเทียบกับในปีนี้

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,703.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -4.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -0.13% ทำสถิติราคาปิดต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ก่อนหน้านี้ ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจาก นักลงทุนประเมินโอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นระหว่าง 0.75% และ 1% ของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิถุนายนในสหรัฐอเมริกาที่พุ่งสูงถึง 9.1% ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาปรับแข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 20 ปี ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ารอบใหม่ใน 20 ปี ประกอบกับผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้น อายุ 2 ปี เพิ่มขึ้นสวนทางกับอายุ 10 ปี ที่ลดต่ำลง