กสิกรไทยชี้หนี้ครัวเรือนไทยปี 65 ยังสูงกว่าก่อนโควิดระบาด เศรษฐกิจโตช้า

723
0
Share:

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยผลวิเคราะห์ระบุ จากข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนที่ธปท. รายงานออกมาล่าสุด ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยในปี 2564 ขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 14.58 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 3.9% ใกล้เคียงกับการเติบโตของยอดคงค้างหนี้ในปี 2563 ที่ 4.0% อย่างไรก็ดี เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ยังคงเติบโตช้า ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ณ สิ้นปี 2564 ยังคงขยับสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 90.1% จากระดับ 89.7% ในปี 2563

ในโครงสร้างหนี้ครัวเรือนภาพรวม ณ สิ้นปี 2564 หนี้ส่วนใหญ่ของครัวเรือน 3 อันดับแรกยังคงเป็น 1.เงินกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งมีสัดส่วน 34.5% ของหนี้ครัวเรือนรวม 2. เงินกู้เพื่อการประกอบธุรกิจ สัดส่วน 18.1% ของหนี้ครัวเรือนรวม และ 3. เงินกู้เพื่อซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์/รถจักรยานยนต์ สัดส่วน 12.4% ของหนี้ครัวเรือนรวม

ภาคครัวเรือนมีการพึ่งพาบริการสินเชื่อที่ไม่ต้องใช้หลักประกันในการกู้ยืม เช่น บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น (สัดส่วนหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลขยับขึ้นมาที่ 8.0% ของหนี้ครัวเรือนรวมในปี 2564 จากที่มีสัดส่วนประมาณ 7.0% ของหนี้ครัวเรือนรวมในปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด-19) เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและแก้ไขปัญหารายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย เพราะภาพรวมเศรษฐกิจและรายได้ของภาคครัวเรือนในหลายๆ ส่วน ยังคงไม่ฟื้นตัวขึ้นจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ลากยาวยืดเยื้อ

ฐานะทางการเงินในระดับครัวเรือนมีสัญญาณอ่อนแอและมีหนี้สูงขึ้นจากผลกระทบของโควิด-19 เงินออมของภาคครัวเรือนซึ่งอยู่ในรูปเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจจะขยับขึ้นต่อเนื่องจากระดับ 12.28 ล้านล้านบาทในปี 2563 มาอยู่ที่ประมาณ 12.87 ล้านล้านบาทในปี 2564 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 79.5% เมื่อเทียบกับจีดีพี และ 88.2% เมื่อเทียบกับยอดคงค้างหนี้ครัวเรือน แต่คงต้องยอมรับว่า หากมองภาพในระดับครัวเรือน สถานะทางการเงินและระดับเงินออมของแต่ละครัวเรือนย่อมมีความแตกต่างกัน

สำหรับแนวโน้มในปี 2565 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพียังคงขยับสูงขึ้นมาที่ระดับ 90.1% ในปี 2564 จากระดับ 89.7% ในปี 2563 และสำหรับในปี 2565 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยจะยังคงขยับขึ้นต่อเนื่อง แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าเศรษฐกิจที่วัดจาก Nominal GDP ที่เติบโตสูงตามภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนอาจชะลอลงมาอยู่ที่กรอบ 86.5-88.5% ต่อจีดีพี

สัดส่วนหนี้ครัวเรือนดังกล่าวยังคงเป็นระดับสูง และเป็นหนึ่งในปัญหาเชิงโครงสร้างที่กดดันการบริโภคของครัวเรือนและเศรษฐกิจในภาพรวมภายใต้สภาวะที่การเติบโตของมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นผลมาจากแรงผลักดันของภาวะเงินเฟ้อสูงมากกว่าการฟื้นตัวอย่างแท้จริงของเศรษฐกิจทำให้โจทย์เฉพาะหน้าของครัวเรือนไทยที่เป็นหนี้ยังคงเป็นการดูแลบริหารจัดการภาระค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับกระแสรายรับ/รายได้ของครัวเรือนเพื่อให้ยังคงมีความสามารถในการชำระคืนหนี้

ทั้งนี้แม้ว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงที่ไทยเผชิญจะไม่แตกต่างไปจากประเทศอื่นๆ แต่เนื่องจากการหยั่งลึกของผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ภาคครัวเรือนไทยมีฐานะทางการเงินอ่อนแอลง ดังนั้นการแก้ไขปัญหาหนี้สินของภาคครัวเรือนซึ่งเป็นจุดเปราะบางหนึ่งของโครงสร้างเศรษฐกิจไทยนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ต้องมีความต่อเนื่องแล้ว ยังจะต้องใช้เวลา เพราะหนี้ครัวเรือนเชื่อมโยงกับปัญหาเศรษฐกิจการเงินในระดับครัวเรือนและประชาชนรายย่อยอีกหลายด้าน

นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างหนี้ครัวเรือนตั้งแต่ช่วงหลังปี 2559 เป็นต้นมา สะท้อนว่า สัดส่วนหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้นจาก 6.0% ในปี 2559 มาที่ 8.0% ในปี 2564 สวนทางกับสัดส่วนสินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพที่ทยอยปรับลดลงจาก 19.3% ปี 2559 มาที่ 18.1% ในปี 2564 ซึ่งภาพดังกล่าวน่าจะสะท้อนว่า อาจต้องมีเกณฑ์ที่เข้ามาดูแลเพื่อช่วยลดการก่อหนี้โดยไม่จำเป็นของครัวเรือน และช่วยเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อให้แก่ภาคครัวเรือนที่เป็นหนี้เพื่อการประกอบอาชีพ เป็นต้น