“กอบศักดิ์” แนะรัฐบาลใหม่สานต่อลงทุนในอีอีซี เร่งเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานที่ล่าช้า

179
0
Share:
กอบศักดิ์ แนะ รัฐบาลใหม่ สานต่อ ลงทุน ใน อีอีซี เร่งเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานที่ล่าช้า

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่าสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจทั้งจีนและสหรัฐฯ รวมทั้งสงครามที่เกิดขึ้นในยุโรประหว่างรัสเซียและยูเครน รวมทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์หลายพื้นที่ในโลก ทำให้เกิดกระแสการเคลื่อนย้ายการลงทุนมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในหลายอุตสาหกรรม โดยมีประเทศที่เป็นเป้าหมายการลงทุนได้แก่ เวียดนาม อินโดนิเซีย และประเทศไทย ซึ่งทุกประเทศมีนโยบายในการดึงดูดการลงทุน ซึ่งการดึงดูดอุตสาหกรรมที่สำคัญๆให้เข้ามาลงทุนในประเทศจะสร้างการเปลี่ยนแปลงการผลิตที่สำคัญในแต่ละประเทศในระยะ 5 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายความว่าหากประเทศไทยไม่สามารถดึงเอาอุตสาหกรรมสำคัญๆเข้ามาตั้งฐานการการผลิตในประเทศไทยในช่วงนี้ได้อีก 5 ปีข้างหน้าเราจะเสียความสามารถในการแข่งขันลงไปมาก

นอกจากนโยบายและมาตรการส่งเสริมให้มีการดึงดูดการลงทุนที่มีอยู่แล้วเรื่องของการส่งเสริมให้มีการเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่มีความล่าช้าก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลใหม่ต้องเข้ามาเร่งรัดดำเนินการเช่นกัน โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐายในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา) โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และท่าเรือมาบตาพุตระยะที่ 3 รวมทั้งโครงการสนามบินและเมืองการบินอู่ตะเภา หากรัฐบาลใหม่สามารถขับเคลื่อนโครงการต่างๆที่อยู่ในพื้นที่อีอีซีให้แล้วเสร็จภายใน 1–2 ปี จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักธุรกิจและนักลงทุนได้ว่าประเทศไทยมีความพร้อมในการรองรับการลงทุนรอบใหม่

นายกอบศักดิ์ ระบุว่า มีหลายนโยบายที่พรรคการเมืองต่างๆได้หาเสียงไว้ แต่ไม่ได้พูดในเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และเดินหน้าโครงการที่มีความพร้อมอยู่แล้ว อย่างในพื้นที่อีอีซีสามารถทำต่อได้เลย และเมื่อรัฐบาลไหนเข้ามาก็สามารถเดินต่อได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมอยู่แล้ว หากไปทำพื้นที่อื่นๆก็จะไม่ทันเพราะต้องใช้เวลานานในการศึกษา และทำกฎหมาย ทั้งนี้มั่นใจวาใน 1 – 2 ปีนี้สามารถเดินหน้าโครงการที่ล่าช้าไปได้ทั้งหมดก็จะสร้างความมั่นใจให้นักธุรกิจและนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

นอกจากนี้ โครงการท่าเรือฝั่งตะวันตก (western port) ยังเป็นอีกโครงการหนึ่งที่เป็นเมกะโปรเจ็กต์ที่รัฐบาลใหม่ควรเข้ามาผลักดันให้เกิดขึ้น เนื่องจากมองว่า จะช่วยเพิ่มศักยภาพการขนส่งทางเรือของไทยไปยังประเทศขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านทิศตะวันตก เช่น อินเดีย โดยมองว่าควรจะมีการฟื้นโครงการการพัฒนาท่าเรือระนองเชิงพาณิชย์ที่รัฐบาลเคยมีการผลักดันโครงการนี้เพื่อเป็น western gate way ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC)ของประเทศไทย ซึ่งท่าเรือนี้หากเปิดให้บริการเป็นท่าเรือเชิงพาณิชย์ได้จะย่นระยะเวลาในการขนส่งสินค้าทางเรือจากไทยไปยังอินเดียโดยใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์ ในขณะที่หากส่งจากมาเลเซียต้องใช้เวลามากถึง 3 สัปดาห์ ซึ่งโครงการนี้จะช่วยให้ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ทางน้ำของภูมิภาคได้ ที่เชื่อมต่อไปยังอินเดียที่เป็นตลาดสินค้าขนาดใหญ่ได้ในอนาคต