การบินไทยยันเลิกนำ A380 เครื่องบินใหญ่สุดในโลกมาบริการ เน้นบินทั้ง 61 ลำที่มี

674
0
Share:
การบินไทย ยันเลิกนำ A380 เครื่องบินใหญ่สุดในโลกมาบริการ เน้นบินทั้ง 61 ลำที่มี

นายสุวรรธนะ สีบุญเรือง ประธานเจ้าหน้าที่อาวุโส รักษาการแทนประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้มีแผนจะนำเครื่องบินแอร์บัส A380 จำนวน 6 ลำที่ยังขายไม่ได้ มาปรับปรุงรองรับปริมาณการเดินทางของผู้โดยสารที่สูงขึ้น เพราะเครื่องประเภทดังกล่าวสามารถรองรับผู้โดยสารได้จำนวนมาก แต่เมื่อหารือกับทางแอร์บัส และฝ่ายช่าง พบว่าการนำเครื่องบินที่จอดทิ้งไว้ 2 ปีกลับมาบินอีกครั้ง ต้องใช้เวลาดำเนินการเช็กสภาพ และตรวจสอบต่างๆ ประมาณ 7-8 เดือน เพื่อให้พร้อมกลับมาบินอย่างปลอดภัย อีกทั้งต้องใช้เงินมหาศาลหลักพันล้านบาท ดังนั้นจึงพับแผนดังกล่าวไปก่อน

ขณะที่ในปี 66 การบินไทยมีแผนจัดหาเครื่องบินมาให้บริการเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 9 ลำ ประกอบด้วย แอร์บัส A330-300 จำนวน 3 ลำ และโบอิ้ง B777-200ER 2 ลำ ซึ่งเป็นเครื่องบินที่จอดพักไว้ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 โดยอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง เพื่อนำกลับมาบินใช้งานได้ตามปกติ นอกจากนี้จะเป็นการเช่าเครื่องบินใหม่แอร์บัส A350-900 จำนวน 4 ลำ ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) และกระทรวงคมนาคม คาดว่าลำแรกจะเข้ามาในไตรมาสที่ 1 ปี 66

ปัจจุบันการบินไทยมีเครื่องบินทำการบินจำนวน 61 ลำ ประกอบด้วย เครื่องบินสำหรับให้บริการของสายการบินไทย ได้แก่ แอร์บัส A350 จำนวน 12 ลำ, โบอิ้ง B777-200ER จำนวน 4 ลำ, โบอิ้ง B777-300ER จำนวน 17 ลำ,โบอิ้ง B787 จำนวน 8 ลำ และเครื่องบินแอร์บัส A320-200 สำหรับให้บริการของสายการบินไทยสมายล์ 20 ลำ

อย่างไรก็ตาม ยังมีแผนเตรียมเช่าเครื่องบินระยะสั้นสำหรับสายการบินไทยสมายล์ โดยพิจารณาเครื่องบินประเภทลำตัวแคบ ประมาณ 10 ลำ อาทิ โบอิ้ง B777 เพื่อมารองรับปริมาณการเดินทางของผู้โดยสารในปัจจุบันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยและต้องเร่งจัดหา หากจีนเปิดประเทศ กังวลว่าเครื่องบินจะไม่เพียงพอ

นายสุวรรธนะ กล่าวว่า ขณะนี้เครื่องบินทั้ง 61 ลำ มีชั่วโมงการใช้เครื่องบินเฉลี่ย 12 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งถือว่าค่อนข้างเต็มประสิทธิภาพแล้ว โดยก่อนเกิดโควิด-19 ชั่วโมงการใช้เครื่องบินที่ทำได้สูงสุดเฉลี่ย 13 ชั่วโมงต่อวัน อย่างไรก็ตามเครื่องบินที่นำเข้ามาประจำฝูงบินเพิ่มเติมในปี 66 นั้น จะนำไปทำการบิน เพื่อเพิ่มความถี่ในเส้นทางบินต่างๆทั่วโลกที่สายการบินไทยเปิดให้บริการอยู่ โดยเฉพาะเส้นทางยุโรป และญี่ปุ่น นอกจากนี้จะนำไปทำการบินในจุดบินเดิมที่หยุดบินในช่วงเกิดโควิด-19 ซึ่งขณะนี้บริษัทเปิดทำการบินในเส้นทางบินเดิมไปแล้วประมาณ 70%