ขอให้สบายใจ! กระทรวงการคลังยืนยันพับแผนเก็บภาษีขายหุ้น-ภาษีกำไรจากการขายหุ้นแน่นอน

237
0
Share:
ขอให้สบายใจ! กระทรวงการคลัง ยืนยันพับแผนเก็บ ภาษี ขายหุ้น - ภาษี กำไรจากการขายหุ้นแน่นอน

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการ รมว.คลัง ยืนยันว่า กระทรวงการคลังยังไม่มีนโยบายในการพิจารณาภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมจากการขายหุ้น (Financial Transaction Tax) และยังไม่มีนโยบายที่จะพิจารณาภาษีกำไรที่เกิดจากการขายหุ้น (Capital Gain Tax) เพื่อชี้แจงกรณีที่น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ออกมาโพสต์ถึงประมาณการรายได้ปี 67 ที่เพิ่ม 30,000 ล้านมาจากการที่รัฐบาลจะเก็บภาษีขายหุ้น 14,000 ล้านบาท โดยทั้ง 2 ส่วนนี้จะเป็นคำตอบที่ชัดเจนจากกระทรวงการคลังที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความสบายใจ มีเสถียรภาพ และสามารถวางแผนการลงทุนในระยะยาวได้

“หนึ่งในมาตรการที่มีผลโดยตรงต่อตลาดหุ้นไทย คือนโยบายด้านภาษี อยากเห็นตลาดทุนไทยเป็นอิฐก้อนแรกของระบบเศรษฐกิจไทยในการสร้างภาคเอกชน สร้างระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนให้สามารถเติบโตไปได้…คลังอยากเห็นตลาดหุ้นไทยที่มีสภาพคล่องสูง มีเสถียรภาพ ไม่ต้องการตลาดหุ้นที่ซบเซา คลังต้องการตลาดหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายที่มีทั้งปริมาณและคุณภาพ และต้องการเห็นตลาดหุ้นไทยมีความน่าดึงดูดทั้งต่อนักลงทุนที่จะมาลงทุนและต่อบริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียน ดังนั้นตลาดหุ้นไทยที่น่าดึงดูดจะต้องมีความสามารถในการแข่งขัน มีกฎระเบียบที่ผ่านปรนเอื้อต่อการลงทุน และต้องดึงดูดบริษัทต่างๆ ในระดับโลกด้วย คลังต้องการเห็นตลาดหลักทรัพย์ไทยแข่งขันได้และมีความเป็นสากล” นายเผ่าภูมิ กล่าว

ส่วนกรณี หากไม่มีการจัดเก็บภาษีในส่วนนี้ จะทำให้รายได้ของรัฐบาลหายไปหรือไม่ และรัฐบาลจะต้องมีการขาดดุลงบประมาณเพื่อมาชดเชยในส่วนนี้ว่า ในแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2567-2570) ยังไม่ได้มีการพิจารณาและรวมถึงผลกระทบที่มีนัยยะสำคัญของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งหากนโยบายนี้เกิดขึ้นนั่นหมายถึงจะมีเม็ดเงินถึง 5.6 แสนล้านบาทเข้าไปในระบบ และด้วยกลไกที่รัฐบาลออกแบบ นั่นหมายถึงเงินทุกบาทใน 5.6 แสนล้านบาท จะต้องเกิดเป็นรายได้ของรัฐบาลกลับคืนมาในรูปแบบของภาษี ทั้งภาษีนิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพิ่มขึ้นถึง 1 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 3 ต.ค. 66 จะมีการเสนอรายชื่อคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ต และหลังจากนั้นจะเร่งเดินหน้าทำงาน ซึ่งจะมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับเงื่อนไขในมาตรการ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เม็ดเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจ เพราะยิ่งปล่อยให้หมุนมากเท่าไรก็จะมีตัวคูณทางเศรษฐกิจสูงขึ้นเท่านั้น