สตาร์บัคส์ ซึ่งเป็นเครือข่ายธุรกิจร้านกาแฟระดับหรูหราชื่อดังของโลกจากสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่าเตรียมดำเนินมาตรการตัดลดค่าใช้จ่ายของบริษัทด้วยการสั่งกรดพนักงานจำนวนมากถึง 900 คน หรือคิดเป็น 9% ของพนักงานที่อยู่ในสายงานสนับสนุนการบริการ ซึ่งในขณะที่ สตาร์บัคส์มีจำนวนพนักงานทั้งหมดที่ไม่ได้อยู่ในแผนก หรือปฏิบัตงานเกี่ยวกับกาแฟมีจำนวนที่ 10,000 คนในสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ สตาร์บัคส์เริ่มทยอยปิดสาขาร้านกาแฟสตาร์บัคส์ที่มีผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายในอเมริกาเหนือ โดยจพมีการปิดสาขาลง 1% ของทั้งหมดอเมริกาเหนือ เบื้องต้น คาดว่าจะทยอยปิดราว 434 สาขาทั้งสาขาที่สตาร์บัคส์เป็นเจ้าของโดยตรง และสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ ส่งผลให้ในปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 18,734 สาขา จะลดเหลือประมาณเกือบ 18,300 สาขาทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาและแคนาดาภายในสิ้นปีงบประมาณนี้
มาตรการดังกล่าวจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 32,000 ล้านบาท
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ สตาร์บัคส์ นายไบรอัน นิคโคล ในช่วงหนึ่งปีที่เข้ารับตำแหน่งมานั้นได้ดำเนินนโยบายและมาตรการในการตัดรถและควบคุมค่าใช้จ่ายเช่นนโยบายไม่มีการลงทุนเพิ่มเติม ในการขยายสาขาร้านสตาร์บัคส์ การปรับปรุงประสิทธิภาพเกี่ยวกับเวลาในการให้บริการ การฟื้นคืนบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมร้านกาแฟภายในสาขาร้านสตาร์บัคส์ และการตัดรถขั้นตอนของการบริหารจัดการทุกฝ่าย
ในด้านผลการดำเนินงานของสตาร์บัคส์นั้น พบว่ายังคงมีสัญญาณที่ไม่สู้ดีนัก โดยผลประกอบการด้านยอดขายในสหรัฐอเมริกาลดลงต่อเนื่องถึง 6 ไตรมาสติดต่อกัน เช่นความต้องการของลูกค้าในการบริโภคกาแฟประเภทลาเต้ซึ่งมีราคาแพงแต่ก็เต็มไปด้วยความจู้จี้จุกจิกของลูกค้า และธุรกิจเครือข่ายร้านกาแฟมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมาสตาร์บัคส์เปิดเผยว่าเตรียมปรับลดพนักงานออกเป็นจำนวนมากถึง 1,100 คน ซึ่งพนักงานที่เข้าข่ายจะถูกปลดออกนั้นจะอยู่ในส่วนของพนักงานที่ให้การสนับสนุนบริการรวมถึงพนักงานที่อยู่ในส่วนของการสนับสนุนงานภายในสำนักงานด้วย เมื่อสิ้นสุดปี 2024 ผ่านไปสตาร์บัคส์มีการจ้างพนักงานรวมกันทั้งสิ้น 361,000 คน แบ่งเป็นพนักงานที่ทำงานอยู่ในสหรัฐอเมริการาว 211,000 คนและที่เหลือเป็นพนักงานที่ทำงานอยู่ในต่างประเทศเรา 150,000 คน