ครม.อนุมัติโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563

1051
0
Share:

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 เพื่อให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติผ่านระบบการประกัน และเป็นการต่อยอดความช่วยเหลือของภาครัฐในการรองรับต้นทุนการเพาะปลูกข้าวให้เกษตรกรที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ
.
รวมทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการ ปีการผลิต 2562 ภายใต้วงเงินงบประมาณ 2,910 ล้านบาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการในปีการผลิต 2562 จำนวน 106 ล้านบาท และขอเสนองบประมาณเพิ่มเติม จำนวน 2,803 ล้านบาท มีเป้าหมายพื้นที่รับประกันภัยทั้งโครงการ รวม 45.7 ล้านไร่ แบ่งเป็น
.
1.การรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier1) พื้นที่รวมไม่เกิน 44.7 ล้านไร่ โดยกำหนดค่าเบี้ยประกันภัยตามความเสี่ยงจริงของเกษตรกรแต่ละกลุ่ม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) ดังนี้
.
กลุ่มที่ 1 พื้นที่ที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 (เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.ทุกราย) ไม่เกิน 28 ล้านไร่ อัตราเบี้ยประกันภัย 97 บาทต่อไร่ เท่ากันทุกพื้นที่ (ความเสี่ยงต่ำ ปานกลาง และสูง) เป็นประกันภัยกลุ่ม
.
กลุ่มที่ 2 พื้นที่ที่ไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 (เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.และเกษตรกรทั่วไป) ซึ่งอยู่ในพื้นที่เพาะปลูกเสี่ยงภัยต่ำ ไม่เกิน 15.7 ล้านไร่ อัตราเบี้ยประกันภัย 58 บาทต่อไร่ เป็นประกันภัยรายบุคคล
.
กลุ่มที่ 3 พื้นที่ที่ไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 (เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.และเกษตรกรทั่วไป) ซึ่งอยู่ในพื้นที่เพาะปลูกที่มีความเสี่ยงภัยปานกลางและสูง ไม่เกิน 1 ล้านไร่ อัตราเบี้ยประกันภัยแบ่งเป็น พื้นที่เสี่ยงภัยปานกลาง 210 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงภัยสูง 230 บาทต่อไร่ เป็นประกันภัยรายบุคคล
.
โดยรัฐบาลเป็นผู้จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยข้างต้นทุกกลุ่มในอัตรา 58 บาทต่อไร่ รวมถึงค่าภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์ทั้งหมด ส่วนที่เหลือของกลุ่มที่ 1 อีก 39 บาทต่อไร่ (ค่าเบี้ยประกัน 97 บาทต่อไร่) ธ.ก.ส.จะเป็นผู้จ่าย กลุ่มที่ 2 พื้นที่เพาะปลูกเสี่ยงภัยต่ำ ค่าเบี้ยประกันภัย 58 บาทต่อไร่ สำหรับกลุ่มที่ 3 ในพื้นที่เสี่ยงภัยปานกลาง (ค่าเบี้ยประกัน 210 บาทต่อไร่ ส่วนต่าง 152 บาทต่อไร่) และพื้นที่เสี่ยงภัยสูง (ค่าเบี้ยประกัน 230 บาทต่อไร่ ส่วนต่าง 172 บาทต่อไร่) ส่วนต่างค่าเบี้ยประกันเกษตรกรเป็นผู้จ่าย

2.การรับประกันภัยร่วมจ่ายโดยสมัครใจ (Tier2) พื้นที่รวมไม่เกิน 1 ล้านไร่ โดยกำหนดค่าเบี้ยประกันภัยตามความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจ่ายเพิ่มจาก Tier1 (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) โดยเกษตรกรเป็นผู้จ่ายเองทั้งหมด แบ่งเป็น
.
1) พื้นที่เสี่ยงภัยต่ำ (พื้นที่สีเขียว) จำนวน 594 อำเภอ อัตราเบี้ยประกัน 26.75 บาทต่อไร่
.
2) พื้นที่เสี่ยงภัยปานกลาง (พื้นที่สีเหลือง) จำนวน 182 อำเภอ อัตราเบี้ยประกัน 52.43 บาทต่อไร่
.
3) พื้นที่เสี่ยงภัยสูง (พื้นที่สีแดง) จำนวน 152 อำเภอ อัตราเบี้ยประกัน 109.14 บาทต่อไร่

โดยวงเงินคุ้มครอง ครอบคลุม
.
1) ภัยพิบัติธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ น้ำท่วม หรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุ หรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาว หรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยช้างป่า วงเงินคุ้มครองในพื้นที่ Tier1 จำนวน 1,260 บาทต่อไร่ พื้นที่ Tier2 จำนวน 240 บาทต่อไร่ แต่รวมแล้วไม่เกิน 1,500 บาทต่อไร่
.
2) ภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด วงเงินคุ้มครองในพื้นที่ Tier1 จำนวน 630 บาทต่อไร่ พื้นที่ Tier2 จำนวน 120 บาทต่อไร่ แต่รวมแล้วไม่เกิน 750 บาทต่อไร่
.
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ ธ.ก.ส.ทดลองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติม 2,803 ล้านบาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราต้นทุนเงิน ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนของ ธ.ก.ส. บวกร้อยละ 1 ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงิน รวม 2,980 ล้านบาท