ครัวเรือนไทยแบกหนี้สุดอ่วมกว่า 14 ล้านล้าน สภาพัฒน์จี้รัฐบาลแก้ปัญหาหนี้ให้ตรงจุด

365
0
Share:
ครัวเรือนไทยแบก หนี้ สุดอ่วมกว่า 14 ล้านล้าน สภาพัฒน์ จี้รัฐบาลแก้ปัญหาหนี้ให้ตรงจุด

วันนี้ 28 กุมภาพันธ์ 2565 น.ส.จินางค์กูร โรจนนันต์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยภาวะสังคมไทยไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ในส่วนของหนี้สินภาคครัวเรือน พบว่าหนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 3 ปี 2564 มีมูลค่า 14.35 ล้านล้านบาท  เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 แต่เป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.1 โดยสินเชื่อทุกประเภทชะลอตัวลง

ด้านหนี้สินทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 89.3 คงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนด้านความสามารถในการชำระหนี้ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) มีมูลค่า 1.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 2.89 ลดลงจากร้อยละ 2.92 ในไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการคุณภาพสินเชื่อของสถาบันการเงิน

อย่างไรก็ตาม ยังต้องเฝ้าระวังปัญหาหนี้เสียอย่างใกล้ชิดเนื่องจากสินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ หรือสินเชื่อค้างชำระไม่เกิน 3 เดือนของสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลต่อสินเชื่อรวมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งหากมีปัจจัยลบมากระทบต่อรายได้ครัวเรือนอาจส่งผลหนี้เสียปรับเพิ่มขึ้นได้

ระยะถัดไปหนี้สินครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุจาก
1. ครัวเรือนรายได้สูงหรือที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตยังมีแนวโน้มก่อหนี้เพิ่ม โดยเฉพาะในสินเชื่อเพื่อยานยนต์ ที่ยอดจองรถจักรยานยนต์และรถยนต์ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2021 ช่วงต้นเดือนธันวาคม 2564 เกินเป้าหมายที่ 30,000 คัน และสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การก ากับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน

2. กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 มีความต้องการสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเพื่อนำมาชดเชยสภาพคล่องจากรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัว

สถานการณ์หนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงในปัจจุบัน อาจเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป  ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องให้ความสำคัญ ดังต่อไปนี้
1. การเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะลูกหนี้กลุ่มลูกหนี้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ที่ได้รับการช่วยเหลือเพียงการชะลอการชำระหนี้แก่ลูกหนี้แบบชั่วคราว อาทิ การขยายระยะเวลา การพักชำระหนี้ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม

2. ส่งเสริมให้ครัวเรือนเข้าถึงสินเชื่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง แต่ต้องคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน เพื่อไม่ให้ครัวเรือนมีภาระหนี้มากเกินไป

3. การส่งเสริมให้ครัวเรือนได้รับการจ้างงานที่มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเน้นการยกระดับทักษะแรงงาน