จ่อปิดตำนานโรงงานเหล็กในสหรัฐตกเป็นของนิปปอน สตีล ญี่ปุ่น ทุ่มกว่า 5 แสนล้านฮุบกิจการ

225
0
Share:
จ่อปิดตำนาน ยูเอสสตีล โรงงานเหล็ก ในสหรัฐตกเป็นของ นิปปอน สตีล ญี่ปุ่น ทุ่มกว่า 5 แสนล้านฮุบกิจการ

นิปปอน สตีล ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมผลิตเหล็กครบวงจรอันดับโลกจากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า เตรียมซื้อกิจการยูเอสสตีล อุตสาหกรรมผลิตเหล็กระดับตำนานที่มีอายุมากว่า 122 ปีของสหรัฐอเมริกา ด้วยการใช้เงินสดมากถึง 14,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 521,500 ล้านบาท การเปิดขายกิจการผลิตเหล็กดังกล่าวเป็นการเปิดประมูลขายกิจการให้ธุรกิจที่สนใจทั่วโลกเสนอซื้อกิจการยูเอสสตีล ซึ่งไม่เพียงมีนิปปอน สตีลจากญี่ปุ่นเท่านั้น ยังมีบริษัทอาซีลอร์มิททัล ยักษ์อุตสาหกรรมเหล็กจากอินเดีย นูเคอร์ และคลีฟแลนด์-คลิฟฟ์ในสหรัฐอเมริกา ด้วย

ขณะนี้ โอกาสที่บริษัทนิปปอน สตีล จะได้เป็นเจ้าของกิจการในยูเอสสตีล มีความเป็นไปได้สูงมาก ซึ่งจะทำให้กลายเป็นการซื้อกิจการควบรวมธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดครั้งประวัติศาสตร์ของนิปปอน สตีล สำหรับเป้าหมายการเสนอตัวเข้าประมูลซื้อกิจการยูเอส สตีล ในครั้งนี้ เป็นผลจากตลาดเหล็กในประเทศญี่ปุ่นถึงจุดอิ่มตัวต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้ามตลาดบริโภคเหล็กในสหรัฐอเมริกากลับขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และมีศักยภาพในอนาคตมาก ที่สำคัญ ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวีมีการเติบโตมากขึ้นทั่วโลกในอนาคต

มูลค่าการเสนอซื้อกิจการยูเอส สตีล สูงถึง 14,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 521,500 ล้านบาท คิดเป็นราคาหุ้นละ 55 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1,925 บาทต่อหุ้น ซึ่งมีราคาสูงขึ้นถึง 142% เมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่เปิดเสนอขายครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2023 ผ่านมา ในขณะที่มีราคาสูงขึ้นถึง 40% เมื่อเปรียบเทียบกับราคาหุ้นบริษัทยูเอส สตีล ปิดตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2023 ผ่านไป

สมาคมเหล็กโลก หรือ WSA เปิดเผยว่า นิปปอน สตีล เป็นบริษัทผลิตเหล็กครบวงจรระดับโลกที่มีขนาดใหญ่อันดับ 4 ของโลก ด้วยกำลังการผลิตที่ 44.37 ล้านเมกตริกตันในปี 2022 ผ่านมา ขณะที่บริษัทยูเอส สตีล ผู้ผลิตเหล็กในสหรัฐอเมริกาที่มีอายุมากว่า 120 ปี มีขนาดใหญ่อันดับที่ 27 ของโลก การควบรวมกิจการในครั้งนี้ หากสำเร็จเป็นทางการ จะทำให้นิปปอน สตีล มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลกทันที

นายทาคาฮิโร โมริ รองรองประธานบริษัทนิปปอน สตีล กล่าวว่า การเสนอซื้อกิจการยูเอส สตีล จะทำให้บริษัทนิปปอน สตีล มีฐานการผลิตเหล็กในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการผลิตเหล็กใช้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถบีอีวีที่เติบโตมากขึ้นทั่วโลกจากการเปลี่ยนผ่านนโยบายของรัฐบาลในหลายประเทศ และพฤติกรรมของผู้ใช้รถยนต์เปลี่ยนแปลงไป

ด้านกำลังการผลิตเหล็กดิบของบริษัทนิปปอน สตีล นั้น เมื่อการควบรวมเกิดขึ้นสมบูรณ์แบบ จะทำให้กำลังการผลิตเหล็กประเภทดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ปีละ 66 ล้านเมตริกตัน เป็นปีละ 86 ล้านเมตริกตัน ซึ่งเข้าใกล้เป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 100 ล้านเมตริกตันต่อปี

ทั้งนี้ ยูเอส สตีล ก่อตั้งขึ้นในปี 1901 ด้วยการควบรวมกิจการระหว่างนายแอนดริว คาร์เนกี้ เจ้าของบริษัทผลิตเหล็กชั้นนำชื่อง่า คิง ออฟ สตีล ซึ่งเป็นผู้ผลิตชื่อดังในยุคสมัยนั้น และนายจอห์น เพียร์พองท์ มอร์แกน ผู้ก่อตั้งธนาคารชื่อดังระดับโลก เจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ส่งผลให้ยูเอส สตีล กลายเป็นผู้ผลิตเหล็กมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจนถึงยุคทศวรรษ 1960 ปัจจุบัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศผู้ผลิตเหล็กมีขนาดใหญ่อันดับ 4 ของโลก ซึ่งตามหลังจีน อินเดีย และญี่ปุ่น ตามลำดับ