ฉีดก่อนไทย! อินเดียเริ่มฉีดวัคซีนโควิด 16 ม.ค.นี้

523
0
Share:

นายกรัฐมนตรี อินเดีย นาเรนดา โมดิ เปิดเผยว่า ประชาชนชาวอินเดียจะได้รับการฉัดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 นับตั้งแต่วันเสาร์ที่ 16 มกราคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งถือว่าเป็นก้าวแห่งความยิ่งใหญ่ในการต่อสู้กับโรคระบาดโควิด-19 ของประเทศอินเดีย สำหรับในระยะแรกคาดว่า จะมีประชาชน 300 ล้านคนได้รับการฉีดภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม จากทั้งหมดทั่วประเทศ 1,300 ล้านคนทั่วทั้งประเทศอินเดีย
.
สำหรับกลุ่มที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 เป็นกลุ่มแรก ซึ่งอยู่ในจำนวน 300 ล้านคนแรกนี้ จะเป็นเจ้าหน้าที่การแพทย์ พยาบาลที่ทำงานส่วนหน้าใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคดังกล่าวจำนวน 30 ล้านคน ต่อมาอีก 270 ล้านคน จะเป็นประชาชนชาวอินเดียตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หรือประชาชนในกลุ่มเสี่ยงสูง
.
กระทรวงสาธารณสุข อินเดีย จัดตั้งศูนย์บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อย ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ไม่ต่ำกว่า 150,000 คน กระจายกว่า 700 ชุมชน ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี มีการติดตั้งจุดตรวจวัดอุณหภูมิทั้งหมด 290,000 จุด และติดตั้งตู้เก็บรักษาวัคซีนมากกว่า 45,000 แห่ง
.
รัฐบาลอินเดีย ได้อนุมัติการใช้วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของบริษัทแอสตร้าเซเนก้า จากประเทศอังกฤษ ซึ่งผลิตร่วมกับมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด และบริษัทเวชภัณฑ์ในประเทศอินเดียมีชื่อว่า พารัต ไบโอเทค ในส่วนของวัคซีนแอสตร้าเซเนก้านั้น มีการผลิตร่วมกันกับสถาบันซีรั่มแห่งอินเดีย หรือ SII ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยผลิตให้กับบริษัทแอสตร้าเซเนก้าเป็นจำนวน 50 ล้านโดส และมีเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้เดือนละ 100 ล้านโดสภายในเดือนมีนาคมนี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินเดียยังไม่สามารถตกลงกับสถาบัน SII ในการจัดซื้อวัคซีนได้ เนื่องจากราคาวัคซีนดังกล่าวมีราคาแพง
.
รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข อินเดีย กล่าวว่า หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ต้องประกาศโครงการฉีดวัคซีนให้ประชาชนชาวอินเดียเร็วขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การระบาดภายในอินเดียยังไม่มีท่าทีจะทรงตัวแต่อย่างใด และการพบเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กลายพันธ์ุในผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 90 รายในขณะนี้
.
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข อินเดีย เปิดเผยว่า ภาวะการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ถึงวันนี้ 10 มกราคม พบว่ามีผู้ติดเชื้อทะยานสูงถึง 18,820 ราย ส่งผลต่อจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมพุ่งเป็น 10,451,346 ราย อยู่อันดับ 2 ของโลก และเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชีย ขณะที่ผู้เสียชีวิตรายวันเพิ่มขึ้นอีก 213 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมเป็น 151,048 ราย อยู่อันดับที่ 3 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย
.