ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดร่วงกว่า 120 จุด น้ำมันดิบโลกปิดขึ้นเหนือ 78 ดอลลาร์

250
0
Share:
ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดร่วงกว่า 120 จุด น้ำมันดิบโลกปิดขึ้นเหนือ 78 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 29,134 จุด -125 จุด หรือ -0.43% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,647 จุด -7 จุด หรือ -0.21% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 10,829 จุด +26 จุด หรือ +0.25% ทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์คปิดติดลบถึง 6 วันทำการติดต่อกัน ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดต่ำสุดครั้งใหม่ตั้งแต่ต้นปีนี้ และปิดหลุดระดับ 30,000 จุดเป็นวันทำการที่ 3 ติดกัน นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นดังกล่าวหลุดระดับ 30,000 จุดในรอบ 3 เดือนกว่า หรือนับตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายนผ่านมา ที่สำคัญดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดดำดิ่งถึง -21.2% เมื่อเทียบกับสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงผ่านมา ทำให้เข้าสู่ภาวะตลาดหมี หรือ Bear Market เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน

ด้านดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นวันที่ 2 ต่อเนื่อง และเข้าสู่ภาวะหมี หรือ Bear Market อย่างสมบูรณ์แบบถึง 2 วันติดกัน เนื่องจากดำดิ่งถึง -24.7% จากวันที่ 4 มกราคม 2565 ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้เกิดสถิติดัชนีหุ้นดำดิ่งในภาวะหมีนานที่สุดในรอบ 6 ปี 6 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2016 และมากที่สุดในรอบ 2 ปี 6 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2020 รวมถึงยังปิดติดลบถึง 6 วันทำการติดต่อกันนานที่สุดในรอบ 2 เดือนกว่า หรือนับตั้งแต่ 1 กรกฎาคมผ่านมา ขณะที่ดัชนีหุ้นนาสแดคดำดิ่งมากถึง -33.2% จากสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งดำดิ่งถึง -4.00%, -4.65% และ -5.07% ตามลำดับ ส่งผลเป็นดัชนีหุ้นรายสัปดาห์ที่ร่วงติดลบเป็นสัปดาห์ที่ 5 ใน 6 สัปดาห์ผ่านมา

สาเหตุจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ทำสถิติการขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.75% ที่ยาวนานในประวัติศาสตร์ของเฟด และเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนมีนาคมของปีนี้ ส่งผลอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาอยู่ระหว่าง 3.00-3.25% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี หรือนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจสถาบันการเงินล่มสลายในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2018

นักวิเคราะห์ประเมินว่าอาจทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดจะขึ้นไปถึงระดับ 4.25-4.50% สิ้นสุดปีนี้ ที่สำคัญ เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวถึงระดับ 4.50-4.75% ในปี 2566

นอกจากนี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 114.527 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 20 ปีครั้งใหม่ หรือนับตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา หลังจากที่เคยขึ้นไปถึงระดับ 111 ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐทะยานแข็งค่ามากกว่า 16% ตั้งแต่ต้นปีนี้ รวมถึงวิกฤตค่าเงินปอนด์สเตอริงเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐที่ตกต่ำมากเป็นประวัติศาสตร์ในคืนผ่านมา

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 78.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +1.79 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2% ก่อนหน้านี้ทำสถิติราคาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ 6 มกราคม หรือในรอบ 8 เดือน 2 สัปดาห์ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 86.27 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +2.21 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2.6% ก่อนหน้านี้ทำสถิติราคาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ 14 มกราคม หรือในรอบ 8 เดือน 2 สัปดาห์ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่งดำดิ่งถึง -6% และ -7% ตามลำดับ ส่งผลเป็นราคาน้ำมันดิบรายสัปดาห์ที่ติดลบเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน ทำสถิติเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่งเข้าสู่ภาวะขายเกินปัจจัยพื้นฐาน

สาเหตุจากแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในอ่าวเม็กซิโกปิดตัวลงเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากพายุเฮอริเคนเอียนที่มีกำลังแรงระดับ 3 ส่งผลกำลังการผลิตน้ำมันดิบลดลง -11% จากภาวะปกติ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจากระดับในรอบ 20 ปี

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,635.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +4.20 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -0.13% ยังคงมีราคาใกล้เคียงสถิติราคาปิดต่ำสุดในรอบ 2 ปี 4 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่อเมษายนปี 2020 เป็นต้นมา ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงและผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะ 2 ปี และ 10 ปี ปรับลดลงหลังจากก่อนหน้านี้ทำสถิติครั้งใหม่ สะท้อนภาวะทำกำไรค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางความกังวลอย่างรุนแรงมากขึ้นกับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาถดถอยรุนแรง