ดัชนีหุ้นไทยปิดดิ่งเหวลึกกว่า 30 จุด ลงแตะ 1,371 จุด กังวลดอกเบี้ยสหรัฐพสูงยาว

212
0
Share:
ดัชนี หุ้นไทย ปิดดิ่งเหวลึกกว่า 30 จุด ลงแตะ 1,371 จุด กังวลดอกเบี้ยสหรัฐพสูงยาว

ดัชนี SET Index ตลาดหุ้นไทย วันนี้ (26 ต.ค. 66 ) ปิดตลาดดัชนี อยู่ที่ 1,371.22 จุด ปรับร่วงลงแรง 30.48 จุด หรือ-2.17% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 45,690.17 ล้านบาท โดยดัชนีทำจุดต่ำสุด 1,370.30 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1,396.17 จุด รับแรงกดดันทั้งนอกประเทศและในประเทศ โดยกังวลดอกเบี้ยสหรัฐยืนในระดับสูงยาวนาน สงครามในอิสราเอลที่กลับมาตึงเครียด และลุ้นนโยบายแจกเงินดิจิทัล

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงการปรับตัวลดลงของดัชนีหุ้นไทยวันนี้กว่า 30 จุด ว่า เป็นการปรับตัวลดลงเช่นเดียวกับตลาดหุ้นใน รวมทั้งตลาดในสหรัฐและยุโรป เนื่องจากปัจจัยลบคือ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และ อัตราดอกเบี้ยโลก ที่ยังมีผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก และคงจะยังมีผลต่อบรรยากาศการลงทุนไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

สำหรับเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติ ตั้งแต่ต้นปี 2566 ไหลออกไปแล้วกว่า 100,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนระยะสั้น ขณะที่ เม็ดเงินที่เป็นการลงทุนระยะยาวยังไม่เปลี่ยนแปลง และตลท.ยืนยันว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทย รวมทั้งความสามารถของบริษัทจดทะเบียนไม่มีปัญหา จึงอยากขอให้นักลงทุนพิจารณาข้อมูลพื้นฐาน และหาโอกาสการลงทุนที่มีศักยภาพ ส่วนโอกาสหรือจุดเปลี่ยยจะเกิดขึ้นได้ ต้องจับตาสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์เป็นหลัก

ตลาด SET50 ปิดที่ 846.89 จุด ปรับ-18.15 จุด หรือ -2.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 30,474.17 ล้านบาท

ส่วนตลาด mai ปิดที่ 395.78 จุด ปรับ-11.54 จุด หรือ-2.83% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1,999.16 ล้านบาท

ขณะที่ หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 หลักทรัพย์
1. KBANK มูลค่าการซื้อขาย 3,678.74 ล้านบาท ปิดที่ 133.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
2. SCB มูลค่าการซื้อขาย 2,249.36 ล้านบาท ปิดที่ 98.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.25 บาท
3. BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,598.27 ล้านบาท ปิดที่ 161.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงไปกว่า 30 จุด รับแรงกดดันทั้งนอกประเทศและในประเทศ โดยกังวลดอกเบี้ยสหรัฐยืนในระดับสูงยาวนาน หลังยอดขายบ้านใหม่ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดมาก ทำให้เป็นปัจจัยหนุนต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) 10 ปีของสหรัฐปรับตัวขึ้น รวมถึงบ้านเราด้วย ขณะเดียวกันสถานการณ์ในตะวันออกกลางก็กลับมาตึงเครียดมากขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น

ส่วนในประเทศ รัฐบาลได้มีการประกาศเกณฑ์การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตออกมา 3 แนวทาง โดยจำกัดสิทธิคนรวย แต่ยังต้องรอความชัดเจนว่าจะมีข้อสรุปอย่างไร ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่ม Spending ประกอบกับเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ยังไหลออกต่อเนื่อง หลังค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่า

แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดตลาดฯ รีบาวด์ทางเทคนิค และด้วยปัจจัยลบรุมเร้า ยังให้น้ำหนักอิงทางขาลงอยู่ แนะติดตามการเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของสหรัฐในคืนนี้ ตลาดคาดไว้ที่ 4.5% หากออกมาดีจะหนุนเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง และหนุนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตลาดคาดจะคงอัตราดอกเบี้ย แต่หากปรับขึ้นดอกเบี้ย จะสร้างแรงกดดันต่อตลาดเพิ่มเติม ให้แนวรับแรกไว้ที่ 1,360 จุด และแนวรับถัดไป 1,350 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,385 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 หลักทรัพย์
1. SCB มูลค่าการซื้อขาย 2,944.16 ล้านบาท ปิดที่ 97.25 บาท ลดลง 1.00 บาท
2. KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,474.73 ล้านบาท ปิดที่ 129.50 บาท ลดลง 3.50 บาท
3. DELTA มูลค่าการซื้อขาย 2,463.25 ล้านบาท ปิดที่ 72.25 บาท ลดลง 8.50 บาท