ดันไทยหลุดกับดักชาติรายได้ปานกลาง คนไทยต้องมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มอีกเดือนละ 40%
นายไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปีผ่านมา หรือระหว่างปี 2562-2566 พบว่ารายได้เฉลี่ยครัวเรือนของนักเรียนที่ยากจนพิเศษมีแนวโน้มลดลงจากวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 จึงส่งผลต่อทั้งจำนวนนักเรียนยากจนและนักเรียนยากจนพิเศษ ให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นในช่วง 5 ปีดังกล่าว ไทยมีนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษรวม 1.8 ล้านคน โดยเฉพาะในปี 2565 จำนวนนักเรียน ยากจนพิเศษเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุด 1.3 ล้านคน จากนั้นใยปี 2566 มีจำนวนลดลงเหลือ 1.25 ล้านคน สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ช่องว่างของความเหลื่อมล้ำระหว่างเด็กและเยาวชนจากครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกับครัวเรือนที่มีความพร้อมทางเศรษฐกิจมากกว่านั้นยิ่งกว้างออกไปมากขึ้น
ข้อมูลเกี่ยวกับรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนที่มีบุตรหลานในระบบการศึกษา พบว่าครัวเรือนในกลุ่มที่มีรายได้น้อยที่สุดยังคงเผชิญกับรายได้ลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 โดยในปี 2562 ภาค 1 ปีการศึกษา 2562 พบว่ารายได้เฉลี่ยที่เคยอยู่ที่ 1,250 บาท/คน/เดือน ลดลงมาเหลือ 1,039 บาท/คน/เดือน เมื่อถึงปี 2566 ภาค 1 ปีการศึกษา 2566
ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่าถ้าผู้ใหญ่ 1 คน มีเงินแค่วันละ 30 บาท จะเลี้ยงดูตนเองหรือไม่ และหากผู้ใหญ่เหล่านี้มีบุตรหลาน 1-2 คนอยู่ในครัวเรือน คำถาม คือจะมีทรัพยากรทางเศรษฐกิจมาเลี้ยงดูแลเด็ก 1 คนให้อยู่ในระบบการศึกษาได้อย่างไร จึงเป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วงมาก
ดังนั้น การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด คือการลงทุนในเด็กและการพัฒนาทุนมนุษย์ นั่นหมายถึง ประเทศไทยควรลงทุนกับเด็กทุกคน โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่อยู่ในครัวเรือนซึ่งมีรายได้ต่ำกว่าเส้นยากจนมีจำนวน 2.8 ล้านคน ให้มีระดับการศึกษาที่สูงขึ้นและไม่หลุดออกนอกระบบ
ข้อมูลสถิติพบว่า คนไทยมีวุฒิการศึกษาระดับป.6 จะมีรายได้เฉลี่ย 9,000 บาท/เดือน เมื่อจบการศึกษาระดับม.ต้น จะมีรายได้เฉลี่ย 10,000 บาท/เดือน กรณีเรียนจบวุฒิการศึกษาระดับม.ปลาย หรือ ปวช. จะมีรายได้เฉลี่ย 13,000 บาท/เดือน และเรียนจบปริญญาตรีได้รายได้เฉลี่ย 27,000 บาท/เดือน นั่นหมายถึง คนไทยในประเทศไทยมีค่าจ้างเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 บาท/เดือน
ดังนั้น ถ้าประเทศไทยต้องการออกจากกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง รายได้ของคนไทยจะต้องเฉลี่ย 38,000 บาท/เดือน ซึ่งยังห่าง 40% ทำให้ต้องปิดจุดที่รั่วไหลของระบบการศึกษา และผลักดันให้เด็กไทยจบเทียบเท่า หรือสูงกว่าระดับปริญญาตรีให้มากขึ้น
