ดาวโจนส์ปิดดิ่งเหวกว่า 650 จุด น้ำมันดิบปิดร่วงหนักกว่า 6% เหลือกว่า 103 ดอลลาร์

279
0
Share:
หุ้น

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 32,245 จุด -653 จุด หรือ -1.99% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,991 จุด -132 จุด หรือ -3.20% และดัชนีหุ้นนาสแดค อยู่ที่ระดับ 11,623 จุด -521 จุด หรือ -4.29% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดหลุดระดับ 4,000 จุด และทำสถิติตกต่ำมากที่สุดในรอบ 1 ปี 1 เดือน หรือตั้งแต่มีนาคม 2021 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ทำสถิติตกต่ำจากสถิติสูงสุดของแต่ละดัชนีใน 1 ปี มากถึง -12%, -17% และ -27% ตามลำดับ

ในสัปดาห์ที่ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดลดลง -0.24%, -0.21% และ -1.54% ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ทำสถิติรายสัปดาห์ตกต่ำเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน สอดรับกับดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 และนาสแดค ทำสถิติรายสัปดาห์ตกต่ำเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน ที่สำคัญดัชนีหุ้นนาสแดคเข้าสู่ภาวะตลาดหมี หรือ Bearish Market โดยดำดิ่งลึกถึง -25% จากสถิติดัชนีนาสแดคทำสถิติสูงสุดระหว่างวันเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564
ย้อนกลับไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และนาสแดคทำสถิติตกค่ำเลวร้ายมากที่สุดใน 1 วันในรอบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2020

ขณะที่ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติตกต่ำเลวร้ายใน 1 วัน เป็นอันดับที่ 2 ในรอบปีนี้ นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นทั้ง 3 แห่งยังลบสถิติดัชนีหุ้นที่พุ่งสูงเมื่อวานก่อนหน้านี้(พุธที่ 4 พ.ค.)อย่างสิ้นเชิงอีกด้วย

สาเหตุจากนักลงทุนสูญเสียความมั่นใจอย่างต่อเนื่องข้ามสัปดาห์ หลังจากประเมินข้อมูลแนวโน้มเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา และรายละเอียดการแถลงข่าวของประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา นายเจอโรม พาวเวลล์ ว่า ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ถึงแม้จะส่งสัญญาณว่าไม่ได้มองถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นถึง 0.75% โดยการแถลงข่าวดังกล่าวมีขึ้นหลังการประกาศผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น 0.5% และเริ่มลดมาตรการซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในรับการเงินสหรัฐอเมริกามูลค่า 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 315 ล้านล้านบาท โดยจะเริ่มลดมาตรการดังกล่าวเดือนละ 95,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3.33 ล้านล้านบาท ในเดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป

ตลาดซื้อขายสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 103.09 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -6.68 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -6.1% ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 105.94 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -6.45 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -5.7% ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สำหรับราคาน้ำมันดิบตลาดโลกในสัปดาห์นี้ ปรับเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ต้นปีนี้มาถึงปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่ง ยังคงทะยานสูงขึ้นถึง 35% สาเหตุจากสภาพตลาดหุ้นนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ทรุดตกต่ำอย่างรุนแรงต่อเนื่องข้ามสัปดาห์ ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่ามากขึ้น ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่ภาวะถดถอยหลังมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่สั่งล็อกดาวน์ป้องกันโรคระบาดโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ส่งผลตัวเลขนำเข้าน้ำมันดิบใน 4 เดือนแรกปีนี้ของจีนแผ่นดินใหญ่ลดลง 4.8% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีผ่านมา

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,858.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -23.40 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -1.3% ในสัปดาห์ที่ผ่านไปนั้น ส่งผลให้เป็นราคาทองคำรายสัปดาห์ที่ลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน ก่อนหน้านี้ ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาทะยานแข็งค่าขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน ใกล้เคียงระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้นกลับพุ่งสูงขึ้นแตะ 3.1% สูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 3 ปี หลังธนาคารกลางสหรัฐอเมริกามีมติขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น 0.5% ตามคาดหมาย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงประเมินความเสี่ยงจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย และแนวโน้มเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา หลังจากจำนวนการจ้างงานนอกภาคการเกษตรในเดือนผ่านไปพุ่งขึ้นเหนือเป้าหมาย กดดันแนวโน้มเงินเฟ้อต่อเนื่อง