ดาวโจนส์ปิดพุ่งกว่า 560 จุด น้ำมันดิบปิดพุ่งเฉียด 113 ดอลลาร์

357
0
Share:

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์เคลื่อนไหวที่ระดับ 33,891 จุด +564 จุด หรือ +1.79% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,386 จุด +80 จุด หรือ +1.86% และดัชนีหุ้นนาสแดค อยู่ที่ระดับ 13,852 จุด +219 จุด หรือ +1.62%
สาเหตุจากนักลงทุนกลับเข้าซื้อหุ้นที่มีราคาตกต่ำอย่างมากใน 2 วันทำการติดกันผ่านมา ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์สู้รบอย่างรุนแรงและต่อเนื่องของรัสเซียในประเทศยูเครน และผลกระทบด้านระบบการเงินระหว่างประเทศของธนาคารกลางรัสเซีย และธนาคารพาณิชย์ของรัสเซีย รวมถึงราคาน้ำมันดิบตลาดโลกโดยเฉพาะน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐ ที่ทะยานปิดเหนือ 112 ดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงหลายทศวรรษ

นอกจากนี้ นักลงทุนเตรียมประเมินการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ที่จะเกิดขึ้นในเดือนนี้กับการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกาที่พุ่งสูงในรอบหลายทศวรรษ

ตลาดซื้อขายสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 110.60 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +7.10 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +6.95% โดยในช่วงระหว่างการซื้อขาย มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 112.51 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล พุ่งทะยานถึง +9.01 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +8.33% ทำสถิติราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2011 หรือในรอบ 10 ปี 9 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 112.93 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +17.96 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +7.58% โดยในช่วงระหว่างการซื้อขาย มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 113.94 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล พุ่งทะยานถึง +18.97 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +8.95% ทำสถิติราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2014 หรือในรอบ 7 ปี 8 เดือน

สาเหตุจากกองทัพรัสเซียโจมตีด้วยขีปนาวุธรุนแรงเข้าทำลายตึกที่ทำการรัฐบาลยูเครนในเมืองใหญ่อันดับ 2 คือเมืองคาร์คิฟ นานาชาติประกาศมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินระหว่างประเทศกับรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ได้รับผลกระทบต่อราคาพลังงานทั้งทางตรง และทางอ้อมอย่างเห็นได้ชัดเจน รัฐบาลแคนาดาตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรด้านน้ำมันดิบกับรัสเซีย ด้วยการยกเลิกนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย ท่ามกลางสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือ IEA

เปิดเผยว่า ได้มีมติปล่อยสำรองน้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดโลก 60 ล้านบาร์เรล เพื่อต้องการลดผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงสุดในรอบกว่า 7 ปีครึ่ง จากผลกระทบของสถานการณ์การต่อสู้ระหว่างรัสเซียและยูเครน อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์มองว่า ปริมาณ 60 ล้านบาร์เรล ซึ่งคิดเป็นเพียง 4% ของปริมาณสำรองทั้งหมดที่ 1,500 ล้านบาร์เรลนั้น แทบไม่มีผลในทางบวกที่จะดึงราคาน้ำมันดิบให้ลดลงได้ ฝนอกจากนี้ นักลงทุนจับตามองการประชุมแบงก์ชาติสหรัฐอเมริกาในเดือนนี้ ที่จะมีการประบขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นครั้งแรก

อย่างไรก็ตาม วิกฤตสถานการณ์รุนแรงระหว่างรัสเซียกับยูเครน และการคว่ำบาตรจากนานาชาติทั่วโลก ยังคงกดดันราคาน้ำมันดิบโลกต่อเนื่อง นอกจากนี้ สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ เปิดเผยรายงานภาวะน้ำมันดิบโลก พบว่าตลาดน้ำมันดิบยังคงตึงตัวต่อเนื่องหลังจากกลุ่มโอเปกพลัสมีมติเพิ่มกำลังการผลิตอีก 400,000 บาร์เรลในเดือนมีนาคม โดยทั่วโลกต้องการใช้น้ำมันดิบปี 2565 สูงถึง 100.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,922.30 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -18.70 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -1.1% ยังคงมีราคาใกล้เคียงสถิติราคาทองคำปิดสูงสุดในรอบ 18 เดือน หรือนับตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน 2564 โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันแรกที่รัสเซียเปิดการโจมตีทางทหารกับยูเครน ส่งผลให้ราคาทองคำตลาดโลกพุ่งทะยานขึ้นถึง 1,973.96 ดอลลาร์สหรัฐ ทำสถิติสูงสุดในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากนักลงทุนประเมินสถานการณ์ความรุนแรงของทั้งรัสเซียและยูเครน โดยมองว่ามาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกมีความรุนแรงมากขึ้นกับระบบการเงินระหว่างประเทศกับรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดีดแข็งค่าต่อเนื่อง และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้นอายุ 10 ปี กลับมายืนเหนือ 2% ครั้งใหม่