ดาวโจนส์ปิดร่วงกว่า 150 จุด น้ำมันดิบปิดลงเหลือกว่า 121 ดอลลาร์

320
0
Share:
หุ้น
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 30,364 จุด -151 จุด หรือ -0.50% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,735 จุด -14 จุด หรือ -0.38% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 10,828 จุด +19 จุด หรือ -0.18%
.
ส่งผลให้ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ดำดิ่งรุนแรงถึง -17.5%, -21.4% และ -33% จากสถิติดัชนีหุ้นสูงสุดของแต่ละดัชนีเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2564 ทำให้ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 เข้าสู่ภาวะตลาดหมี หรือ Bear Market สมบูรณ์แบบ และยังทำสถิติปิดต่ำสุดในรอบ 1 ปี 2 เดือน หรือนับตั้งแต่กุมภาพันธ์ปี 2564 ดังนั้น ยังคงเหลือดัชนีหุ้นดาวโจนส์ที่เข้าใกล้ภาวะตลาดหมี หรือ Bear Market
.
นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดดำดิ่งลงเหวอย่างรุนแรงรวมกันใน 3 วันทำการผ่านมา โดยดัชนีหุ้นดาวโจนส์ -1,907 จุด หรือ -5.75% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 -281 จุด หรือ -7.17% และดัชนีหุ้นนาสแดค -925 จุด หรือ -8.02%
.
ในสัปดาห์ที่ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งดิ่งระนาว -4.58%, -5.05% และ -5.60% ตามลำดับ ทำสถิติดัชนีหุ้นรายสัปดาห์ที่ย่ำแย่ในรอบ 5 เดือนผ่านมา โดยดัชนีหุ้นดาวโจนส์รายสัปดาห์ทรุดเป็นสัปดาห์ที่ 10 จาก 11 สัปดาห์ และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 และนาสแดคทรุดเป็นสัปดาห์ที่ 10 จาก 9 สัปดาห์
.
สาเหตุจากนักลงทุนรอติดตามผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 14-15 มิถุนายนนี้ โดยคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นขั้นต่ำ 0.5% หรือชั้นสูงสุดถึง 0.75% ในการประชุมรอบนี้ ก่อนหน้านั้น เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านไป กระทรวงแรงงาน สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคมพุ่งทะยานแตะ 8.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีผ่านมา ทำสถิติอัตราเงินเฟ้อเร่งขึ้นสูงสุดในรอบ 41 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 1981 เป็นต้นมา นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อดังกล่าวพุ่งสูงถึง 1% เมื่อเทียบกับเดือนเมษายนที่ผ่านมาด้วย ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อขั้นพื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมราคาพลังงานและอาหาร พุ่งสูงถึง 6.0% การประกาศตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภคเดือนพฤษภาคมดังกล่าว ยังพบว่าพุ่งสูงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเงินเฟ้อทั่วไป และขั้นพื้นฐานในเดือนพฤษภาคมของสหรัฐอเมริกา ถูกคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 8.3% และ 5.9% ตามลำดับ
.
ตลาดซื้อขายสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 118.93 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.00 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.7% ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน
.
ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 121.17 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -1.10 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.9% ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
.
สาเหตุจากเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาที่พุ่งสูงในรอบ 41 ปี กดดันเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ทางการเซี่ยงไฮ้กลับมาล็อกดาวน์พื้นที่บางส่วนของนครเซี่ยงไฮ้ กระทบกับเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่ ถึงแม้ยอดส่งออกในเดือนพฤษภาคมของจีนจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีผ่านมา
.
ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,813.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -16.30 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -1.00% รวม 2 วันทำการติดกัน ราคาทองคำล่วงหน้าดำดิ่งถึง -62 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -3.4% ก่อนหน้านี้ ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน
.
สาเหตุจากนักลงทุนรอฟังผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งคาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นขั้นต่ำ 0.5% หรืออาจขึ้นสูงถึง 0.75% ในการประชุมที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14-15 มิถุนายนนี้ นอกจากนี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาพุงขึ้นสูงสุดในรอบหลายสิบปี ด้านเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงสุดในรอบ 41 ปี ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับแข็งค่ามากขึ้น และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้นกลับเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่สูงกว่าระดับ 3%