ดาวโจนส์ร่วงลงเหวกว่า 800 จุด น้ำมันดิบปิดทะยานขึ้นเหนือกว่า 104 ดอลลาร์

353
0
Share:
หุ้น

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 33,240 จุด -809 จุด หรือ -2.38% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,175 จุด -120 จุด หรือ -2.81% และดัชนีหุ้นนาสแดค อยู่ที่ระดับ 12,490 จุด -514 จุด หรือ -3.95% หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทุกตัวโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ เช่น กูเกิ้ล เมตา โรบินฮู้ด ถูกกระหน่ำเทขายตลอดทั้งคืนผ่านมารับการผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้

ก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านไป ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ดำดิ่งกว่า 900 จุด ทำสถิติทรุดลงเหวหนักที่สุดในรอบเกือบ 1 ปี 6 เดือน หรือนับตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม ปี 2020 และยังทรุดลงเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน สอดคล้องกับดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 2 เดือน และยังทรุดลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน ในสัปดาห์ที่ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ดำดิ่งมากถึง -1.9%, -2.8% และ -3.8% ตามลำดับ ขณะนี้ในเดือนเมษายน ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ให้ผลตอบแทนที่ย่ำแย่มากถึง -4.2%, -7.8% และ -12.2% ตามลำดับ

สาเหตุจากนักลงทุนหวนกลับมากังวลปัจจัยลบเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและสหรัฐอเมริกาจะชะลอตัวลงอย่างมาก จากผลพวงของประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา นายเจอร์โรม พาวเวลล์ กล่าวในการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศเมื่อวันพุธที่ผ่านไปว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นอาจมีถึง 0.5% ในการประชุมเดือนพฤษภาคมนี้ เศรษฐกิจจีนแผ่นดินใหญ่ที่จะซบเซาในปีนี้จากมาตรการล็อกดาวน์โรคระบาดโควิด-19 ที่มีต่อเนื่อง นอกจากนี้ อัตราอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในระดับสูงมาก และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี ปรับสูงขึ้นครั้งใหม่มาอยู่ที่ 2.9% ยังคงเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐ

ตลาดซื้อขายสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 101.70 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +3.16ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +3.2% ก่อนหน้านี้ ในเดือนมีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 104.99 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +2.67 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2.6% ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ก่อนหน้านี้ ราคาปิดเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ทำสถิติราคาต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ หรือนับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2565 นอกจากนี้ ยังมีราคาตกต่ำมากถึง 25% จากสถิติราคาสูงสุดในรอบ 14 ปีเมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมาด้วย ในสัปดาห์ที่ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่ง ตกต่ำมากเกือบ -5%

สาเหตุจากธนาคารโลกเตือนทั่วโลกจะเกิดวิกฤตช็อคราคาน้ำมันดิบโลกเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในยุค 1970 จากสถานการณ์สงครามรัสเซียกับยูเครน นอกจากนี้ มาตรการล็อกดาวน์นครเซี่ยงไฮ้ที่มีแนวโน้มจะขยายระยะเวลาออกไปอีก หลังจากยอดติดเชื้อรายวันยังทรงตัวกว่า 20,000 ราย และยอดเสียชีวิตรายวันพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 5 วันติดต่อกัน ส่งผลความต้องการใช้น้ำมันดิบจีนลดลงต่อเนื่อง จีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 1 ของโลก

นอกจากนี้ ความกังวลในการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นในวันที่ 3-4 พฤษภาคมนี้ ซึ่งคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาอาจปรับเพิ่มขึ้นมากถึง 0.5% ส่งผลให้ฉุดภาวะเศรษฐกิจมีผลต่อการใช้น้ำมันดิบโลก นอกจากนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกในปีนี้ลงเกือบ 1% รับผลพวงสงครามรัสเซียกับยูเครน กดดันความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกลดลง

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,902.30 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +3.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.3% ก่อนหน้านี้ ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากท่ามกลางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับแข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี หรือตั้งแต่มีนาคม ปี 2020 เป็นต้นมา หลังจากผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา สาขาเซนต์หลุยส์ มองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอาจเพิ่มมากขึ้นถึง 0.75% รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี ปรับสูงขึ้นครั้งใหม่ แต่ปัจจัยเสี่ยงด้านสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้ที่จะชะลอตัวหนักซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตราคาพลังงานมีน้ำหนักจูงใจให้เข้าลงทุนในทองคำ