ดีอีเอสเตรียมเอาผิดผู้เข้าข่ายผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

1030
0
Share:

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ เฝ้าติดตามมอนิเตอร์การกระทำความผิดในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และแก้ไขเพิ่มเติม และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ระหว่างวันที่ 13 ตุลาคม – 18 ตุลาคม 2563
.
โดยทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าผู้เข้าข่ายสุ่มเสี่ยงกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งหมด 324,990 เรื่อง แบ่งเป็น Twitter 75,076 เรื่อง // Facebook 245,678 เรื่อง และ Web board 4,236 เรื่อง ซึ่งรวมทั้งผู้โพสต์คนแรก และแชร์ รีทวิตข้อความที่ผิดกฎหมาย
.
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจะเอาผิดเฉพาะผู้โพสต์คนแรก ที่นำเข้าซึ่งข้อความสู่ระบบคอมพิวเตอร์ก่อนจำนวนหนึ่ง โดยมีทั้งเป็นแกนนำกลุ่มมวลชน นักการเมืองและผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย รวมถึงสื่อและเพจที่ทำการรายงานสถานการณ์ทางออนไลน์ ที่เข้าข่ายผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินส่วนก่อนหน้านี้ศาลได้มีคำสั่งให้ปิดกั้น เพจ Royalist Market Place หากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือแพลตฟอร์ม ไม่ทำการปิดกั้นภายใน 15 วัน ทางกระทรวงดีอีเอสจะดำเนินการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้เอาผิดตามมาตรา 27 แห่งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
.
ทั้งนี้ได้กำชับเเละมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การชุมนุม เเละดีอีเอส พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย ทยอยส่งหลักฐานที่เก็บรวบรวมได้ ส่งให้ทางกองอำนวยการร่วมแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง (กอร.ฉ.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงขออำนาจศาล ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเด็ดขาด เเละยังฝากเตือนผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ที่จะโพสต์ข้อความหรือภาพสถานการณ์ใดๆ ต้องระมัดระวังไม่ให้ผิดต่อกฎหมาย โดยจะมีเจ้าหน้าที่ติดตามและมอนิเตอร์ ความเคลื่อนไหว การใช้โซเชียลมีเดีย รวมถึงผู้ที่ทำการแชร์ข้อมูล หรือรีทวิตข้อมูลที่ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดำเนินการเอาผิดทางคดีตามขั้นตอนของกฎหมายทันที
.
นอกจากนี้ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงดีอีเอส แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มอย่างผิดกฏหมาย ในช่วงวันที่ 14-18 ต.ค.2563 โดยเบื้องต้นได้พบผู้กระทำผิดประมาณ 300,000 URL โดยอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อระบุตัวบุคคลเพื่อดำเนินคดี
.
ทั้งนี้ขอเตือนประชาชนให้ใช้สื่ออย่างระมัดระวัง เนื่องจากในสถานการณ์ฉุกเฉินจะมีข้อจำกัดมากขึ้น โดยเฉพาะห้ามยุยง ปลุกปั่นและสร้างความแตกแยก ดังนั้นหากมีการกระทำที่เข่าข่ายก็จำเป็นต้องบังคับใช้กฏหมายอย่างเคร่งครัด เเละหลายฝ่ายได้มองว่ารัฐบาลใช้อำนาจปิดกั้นประชาชนนั้นได้ย้ำว่า ไม่ได้ดำเนินคดีกับทุกคน หากไม่เข้าข่ายความผิดหรือข้อกฏหมาย ก็ไม่ได้ดำเนินคดี ยืนยันไม่ได้ละเมิดสิทธิอย่างแน่นอน