ต้องฟัง! ดีแทคเผย 3 ความท้าทายสำคัญของโลกยุคหลังโควิด-19 

359
0
Share:

นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวในงาน dtac Responsible Business Virtual Forum 2021 ว่า “การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ได้ทำให้เห็นความสามารถของมนุษย์ในการปรับตัวและยืนหยัด (human resilience) ดังเห็นได้จากอัตราการใช้งานช่องทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่วิกฤตดังกล่าวก็นับเป็นความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับภาคธุรกิจไทยที่ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ให้สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ พร้อมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย”

ความท้าทายที่เกิดขึ้นได้เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในภาคธุรกิจ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แนวโน้มสำคัญ คือ

1. โครงสร้างธุรกิจเปลี่ยนสู่ Economy of Scale
วิกฤตโควิด-19 ได้เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของภาคธุรกิจ โดย ‘การประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale)’ มีบทบาทมากขึ้นในโลกธุรกิจ ดังจะเห็นได้จากการควบรวมกิจการต่างๆ ในระดับภูมิภาค เช่น ความสนใจในธุรกิจโทรคมนาคมของบริษัทพลังงาน การควบรวมธุรกิจระหว่าง Digi และ Celcom ในมาเลเซีย ขณะที่ Grab สตาร์ทอัพยูนิคอร์นสัญชาติมาเลเซียนั้นมีแผนการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้ง (IPO) ที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก

2. ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลที่กว้างขึ้น (Digital Divide)
วิกฤตโควิด-19 ได้เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม โดยทั้งภาครัฐและธุรกิจต่างส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีในการกระตุ้นการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์การดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนชายขอบและกลุ่มเปราะบางที่เข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ต หรือขาดความรู้ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มศักยภาพ

3. ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน (Climate change) ต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
นอกเหนือจากวิกฤตโควิด-19 ประเทศไทยยังเผชิญกับภาวะโลกร้อนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันได้ส่งผลกระทบตามแนวชายฝั่งและระบบนิเวศทางการเกษตรที่เปราะบาง และในอนาคตอันใกล้นี้ การเปลี่ยนแปลงทางสภาวะอากาศอาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังเช่นในวิกฤตมหาอุทกภัยในปี 2554 ซึ่งส่งผลให้เกิดการขาดแคลนฮาร์ดไดรฟ์ไปทั่วโลก

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด–19 ในระลอก 3 นี้ ลูกค้าดีแทคมีอัตราการใช้ดาต้าเฉลี่ยพุ่งสูงถึง 20 GB ต่อคนต่อเดือน ซึ่งตัวเลขการเพิ่มขึ้นดังกล่าวส่งผลต่อการใช้พลังงานในการให้บริการโครงข่ายที่ปัจจุบันมีสัดส่วนสูงถึง 97% ของกระบวนการการดำเนินธุรกิจทั้งหมดของดีแทค

ด้วยเหตุนี้ ดีแทคจึงได้กำหนดเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบทา โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยกาศ 50% ภายในปี 2573 ผ่านการใช้พลังงานทางเลือก เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในส่วนงานบริหารโครงข่ายและ call center และแสวงหาความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรมในการนำเทคโนโลยี 4G / 5G ร่วมกับโซลูชัน IoT เพื่อสร้างระบบการจัดการพลังงานน้ำและไฟฟ้าอัจฉริยะ เพื่อช่วยอุตสาหกรรมอื่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย

นอกจากนี้ ภายใต้แผนงานการจัดการผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ดีแทคเดินหน้าจะลดปริมาณการทิ้งขยะทั่วไปจากสำนักงานและขยะอิเล็กทรอนิกส์แบบฝังกลบเป็นศูนย์หรือ zero landfill ภายในปี 2565 โดย 80% ของขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของดีแทคนั้นคือซากอุปกรณ์โครงข่าย

นายประเทศ ตันกุรานันท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเทคโนโลยี ดีแทค กล่าวว่า เป้าหมายดังกล่าวถือเป็นการสร้างมาตรวัดที่เป็นรูปธรรม ท่ามกลางความท้าทายด้านการเข้าถึงแหล่งพลังงานทางเลือกที่มีจำกัด เนื่องด้วยความต้องการใช้พลังงานของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่มีความแตกต่างเฉพาะ

นางสาวทิพยรัตน์ แก้วศรีงาม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานขาย ดีแทค กล่าวว่า “ดีแทคมุ่งเน้นการดำเนินงานใน 3 มิติ ได้แก่ 1. การให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยดีแทคได้ปรับเปลี่ยนวิถีการทำงาน และปัจจุบันพนักงานดีแทคกว่า 95% นั้นสลับระหว่างการทำงานที่บ้านและในสำนักงาน 2. การปรับแผนกระจายสินค้าและจุดบริการตามการโยกย้ายพื้นที่ของผู้ใช้งาน และเพิ่มจุดกระจายสินค้าอย่างรวดเร็ว และ 3. เร่งลูกค้าและคู่ค้าทั้งซัพพลายเชนเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ผ่านการกระตุ้นการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการทำธุรกรรมให้มากที่สุด

นายมาร์คุส แอดอัคทูสเซ่น รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มกิจการองค์กร ดีแทค กล่าวว่า ธุรกิจจำนวนมากต่างต้องพึ่งพาข้อมูลมากขึ้นในการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลด้วยในบางกรณี ในยามที่แนวทางการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นยังไม่มีความชัดเจน เราจึงยินดีที่ได้เห็นการบังคับใช้กฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่ส่งเสริมสิทธิความเป็นส่วนตัวในประเทศไทย อย่างไรก็ดี ภาครัฐต้องอาศัยการทำงานแบบองค์รวม เพื่อให้เกิดความชัดเจนทั้งในแง่ของความหมายในบทบัญญัติที่สำคัญ และความสอดคล้องระหว่างกฎหมายอย่าง PDPA กับกฎเกณฑ์เฉพาะในแต่ละหมวดธุรกิจ ซึ่งการกำหนดมาตรฐานและความคาดหวังอย่างเป็นรูปธรรมจะช่วยสร้างความเข้าใจอันดียิ่งขึ้นให้กับผู้บริโภค ว่าข้อมูลของพวกเขาถูกใช้งานอย่างไรบ้าง