ธนาคารกสิกรไทยเผยไทยเผชิญภาวะของแพงขึ้น แต่รายได้ลดลง เตือนเงินบาทผันผวน

500
0
Share:

นายกอบชัย ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกกำลังถอยหลัง โดยได้รับผลกระทบจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19  แล้วซ้ำเติมด้วยสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดภาวะชะลอตัวท่ามกลางเงินเฟ้อสูง (Stagflation) หมายถึง ของแพงขึ้น ขณะที่รายได้ลดลง สาเหตุหลักมาจากข้อจำกัดทางด้านอุปทาน อีกทั้งมาตรการการคว่ำบาตรจากนานาชาติต่อรัสเซียจะทำให้สินค้าขาดแคลนจากตลาดโลกไปอีก สำหรับประเทศไทยที่มีความหวังต่อภาคการท่องเที่ยวว่า จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นั้น มาตรการคว่ำบาตรจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทยแน่นอนเพราะ 70% ของจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงนี้มาจากยุโรป

นางสาวกฤติกา บุญสร้าง ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจจะใช้วิธีแก้ปัญหาเงินเฟ้อตามวิธีที่เคยปฏิบัติมาซึ่งอาจจะบรรเทาปัญหาเงินเฟ้อได้ แต่จะเพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย อีกทั้งนโยบายเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของ Fed ในการขึ้นดอกเบี้ยและการปรับอัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ท่ามกลางภาวะสงครามยูเครนจะส่งผลถึงตลาดการเงินโลก

ด้านนายสิทธิธัช พุคยาภรณ์ ผู้ช่วยผู้บริหารงานขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นกับภาวะการท่องเที่ยวที่ไม่สู้ดีนักจะกดดันดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย อีกทั้งคาดว่า จะมีการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุนต่างชาติประมาณ 7.5หมื่นล้านบาทระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ส่วนค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวด้วยความผันผวนและไม่แน่นอน โดยน่าจะคลื่อนไหวระหว่าง 32.90 ถึง 34.20 ภายใน 1 เดือนข้างหน้า

ทั้งนี้ ปัจจัยทั้งบวกและลบที่จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจไทยในอนาคตนั้นมีดังนี้ ปัจจัยลบได้แก่ สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนซึ่งยังไม่ทราบว่า จะจบลงเมื่อไร ภาวะเงินเฟ้อและแนวทางแก้ปัญหาของ Fed ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวท่ามกลางเงินเฟ้อสูง บัญชีเดินสะพัด การจ่ายเงินปันผลนักลงทุน และจำนวนของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ปัจจัยบวกได้แก่ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาและเงินลงทุนจากต่างชาติจะเข้ามามากขึ้นเพราะนักลงุทนสนใจตลาดทุนที่กำลังเติบโต