ธนาคารแอลเอช มอง 2 นโยบายก้าวไกลขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ-ลดค่าไฟ ทำคนไทยคุณภาพชีวิตดีขึ้น

305
0
Share:
ธนาคารแอลเอช มอง 2 นโยบาย ก้าวไกล ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ-ลดค่าไฟ ทำคนไทย คุณภาพชีวิต ดีขึ้น

ธนาคารแอลเอช แบงก์ หรือ LH Bank เปิดเผย รายงานบทวิเคราะห์และมุมมองการลงทุนประจำสัปดาห์นี้ ว่าผลการเลือกตั้งที่ “พลิกขั้วเปลี่ยนข้าง” อย่างพรรคก้าวไกล ที่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็นคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งกำลังพยายามจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ซึ่งทาง LH Bank Advisory ประเมินว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะทันกำหนดเวลาภายใน ส.ค. 2023 ดังนั้นจึงใช้โอกาสนี้ พิจารณานโยบายที่โดดเด่นของรัฐบาลใหม่ คือ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และลดค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นนโยบายที่ส่งผลให้รายได้ต่อหัวประชากรฟื้นตัว และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ LH Bank Advisory มองความเสี่ยงกดดันตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ มีสาเหตุมาจากความเสี่ยงจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลและเลือกนายกได้ตามกำหนด เพราะประเด็นเรื่องต้องมีการรับรองด้วย 376 เสียง ซึ่งทาง LH Bank Advisory มองเป็นปัจจัยเสี่ยงระยะสั้น ประเมินกรอบแนวรับตลาดหุ้นไทย 1500 – 1530 จุด ซึ่งมีมูลค่า PE ล่วงหน้า12 เดือน 15 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี สามารถทยอยเข้าสะสมได

รายงานดังกล่าว ระบุว่า ประเทศไทยได้ผ่านพ้นการเลือกตั้งใหญ่ ที่สร้างความประหลาดใจแก่บรรดานักวิเคราะห์ถึงผู้ได้รับชัยชนะทางการเมือง อย่าง พรรคก้าวไกล ที่มีแคนดิเดตนายกฯ เป็น คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และหากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ตามนี้ จะทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก 313 เสียง* จาก 8 พรรค ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคเป็นธรรม และพรรคพลังสังคมใหม่

ตามกำหนดการในกรณีจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างราบรื่น คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายใน ส.ค. 2023 โดยทาง LH Bank Advisory ประเมินว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลและเลือกนายกได้ทันกำหนดเวลาดังกล่าว ดังนั้นจึงใช้โอกาสนี้ พิจารณานโยบายที่โดดเด่นของรัฐบาลใหม่ ไว้ดังนี้

• นโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จาก 450 บาท ต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 345 บาทต่อวัน : ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าปรับสูงขึ้น แต่ไม่ได้ผลักให้เงินเฟ้อสูงเกินกรอบเป้าหมายที่กำหนดไว้ 1%-3% เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อไทย มีสาเหตุหลักจากราคานำเข้าพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงตามอุปสงค์โลก อีกทั้งผลกระทบที่ปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ย่อมกดดันกำไรของบริษัทฯ โดยเฉพาะ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานในการผลิตและบริการเป็นหลักอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น กลุ่มโรงแรม และโรงงานขนาดเล็ก

• นโยบายการปรับลดค่าไฟ 70 สตางค์ต่อหน่วย : หากพิจารณาจาก Figure 2 พบว่าค่าไฟที่ขายปลีกมีราคาที่เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จนสูงถึง 91 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ต้นทุนนำเข้าพลังงานเพื่อผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น ทั้งนี้ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าการปรับลดค่าไฟดังกล่าว ย่อมกดดันรายได้ของบริษัทฯ ของกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า แต่อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมผลของการปรับลดค่าไฟขายปลีกนี้ ถือเป็นการลดค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือน และภาคเอกชน เพราะลดต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งทำให้รายได้มีโอกาสฟื้นตัว

ดังนั้นทาง LH Bank Advisory มองเชิงบวกกับนโยบายทั้งสองนี้ ส่งผลให้รายได้ต่อหัวประชากรฟื้นตัว และกระตุ้นการบริโภค และเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

หากแต่ความเสี่ยงที่กดดันตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ มีสาเหตุมาจากความเสี่ยงจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลและเลือกนายกได้ตามกำหนด เพราะต้องมีเสียงสนับสนุน 376 เสียง จนเสี่ยงเกิดสุญญากาศทางการเมือง ส่งผลให้เกิดการชะงักการออกนโยบายและแผนงบประมาณ สร้างผลพ่วงต่อไปยังเสถียรภาพความมั่นคงและเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน เป็นเหตุให้ในไตรมาสที่ 2 นักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ เกิดการขาดความเชื่อมั่น ทั้งนี้ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าสาเหตุความกังวลดังกล่าวเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น และแนะนำทยอยเข้าสะสมได้ กรอบแนวรับตลาดหุ้นไทย 1500 – 1530 จุด โดยมีมูลค่า PE ล่วงหน้า 12 เดือน 15 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี