นักวิชาการ ม.หอการค้าไทยมองมีหรือไม่มีดิจิทัลวอลเล็ต เศรษฐกิจไทยปีนี้ก็โตเกิน 3.2%

188
0
Share:
นักวิชาการ ม.หอการค้าไทยมองมีหรือไม่มี ดิจิทัลวอลเล็ต เศรษฐกิจ ไทย ปีนี้ก็โตเกิน 3.2%

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจกล่าวว่า แม้ขณะนี้จะมีท่าทีโครงการดิจิทัลวอลเล็ตอาจจะล่าช้าไม่ทันในเดือน พ.ค. 67 ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้ออกมาให้ข่าวนั้น โดยหลักการแม้จะไม่มีโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเกิดขึ้นเศรษฐกิจไทยในปี 67 จะเติบโตเกินกว่าร้อยละ 3.2 อยู่แล้ว แต่หลายฝ่ายเห็นว่าอัตราการเติบโตดังกล่าวถือว่าต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านและควรที่จะมีโครงการกระตุ้นเพื่อให้เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตไปมากกว่านี้ ดังนั้น โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจึงเป็นหนทางสำคัญของรัฐบาลที่จะให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้และปีหน้ามีอัตราการเติบโตเกินกว่าร้อยละ 4-4.5

อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีการปรับลดวงเงินของดิจิทัลวอลเล็ตลงมาโดยใช้งบเพียง 400,000 ล้านบาทจะทำให้เศรษฐกิจปีนี้โตได้ร้อยละ 4.2 หากใช้เพียง 160,000 ล้านบาท ทำให้เศรษฐกิจปีนี้โตร้อยละ 3.5 แต่หากใช้เม็ดเงิน 500,000 ล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจปีนี้โตเกินร้อยละ 4.5 ดังนั้น คงจะต้องพิจารณาความเหมาะสมว่ารัฐบาลจะเลือกทางใด เพราะขณะนี้โดยภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ไม่เติบโตเกิดจากปัญหาความเสี่ยงปัจจัยภายนอกทั้งสิ้น และมองว่ายังไม่เห็นมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆของรัฐบาลออกมาอย่างชัดเจน ทำให้อัตราการเติบโตเศรษฐกิจจึงยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมในปี 67 ได้

นอกจากนี้ยัง มองว่าหากรัฐบาลยังคงเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตต่อไปแม้จะติดเงื่อนไขโดยเฉพาะจะต้องทำเป็นการกู้เงินจำนวน 500,000 ล้านบาทก็ให้เปลี่ยนมาใช้ใส่งบกลางในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 67และ 68 แทน โดยแบ่งสัดส่วนการใช้เม็ดเงินโครงการนี้ในงบกลางปี 67 จำนวน 160,000 ล้านบาทไปช่วยกลุ่มเปาะบางจำนวน 16 ล้านคนก่อน และที่เหลือกว่า 350,000 ล้านบาทไปใส่ในงบกลางปี 68 ที่จะเริ่มใช้งบประมาณดังกล่าวได้จริงในวันที่ 1 ต.ค. 67 นี้เป็นต้นไป ก็จะทำให้การใช้เม็ดเงินโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเต็มอัตรา 500,000 ล้านบาทเป็นการใช้เงินงบประมาณทดแทนการต้องไปกู้เงินเพื่อมาจัดทำโครงการนี้

ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลจะต้องเดินหน้าทำให้อัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยเติบโตเกินร้อยละ 4 ในปี 68 จะต้องเร่งหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับการลงทุนใหม่ๆให้เห็นรูปธรรม เพราะการนำเสนอโครงการก่อสร้างแลนด์บริดจ์ การพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ไทย หรือการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ยังไม่เห็นผลที่ชัดเจนและเป็นโครงการระยะยาว แม้จะเป็นการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่เป็นโครงการระยะยาว ดังนั้น รัฐบาลจะต้องหาโครวงการใหม่ๆที่เห็นผลในระยะเวลาไม่นานเพื่อให้เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตได้เกินกว่าร้อยละ 4 ในปี 68 เป็นต้นไป