น้ำมันดิบพุ่งกว่า 150 ดอลล์ เศรษฐกิจโลกจ่อถดถอย หวั่นสู้รบกลายเป็นสงครามตะวันออกกลาง

234
0
Share:
น้ำมันดิบ พุ่งกว่า 150 ดอลล์ เศรษฐกิจโลก จ่อถดถอย หวั่นสู้รบกลายเป็นสงครามตะวันออกกลาง อิสราเอล ฮามาส

นักเศรษฐศาสตร์ บลูมเบิร์ก เปิดเผยว่า การสู้รบที่รุนแรงและความขัดแย้งที่บาดหมางยิ่งขึ้นจากสถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสติดอาวุธในปาเลสไตน์ กำลังมีความน่ากังวลมากขึ้นที่จะขยายวงความขัดแย้งจนนำไปสู่การก่อสงครามระดับภูมิภาค ซึ่งในที่สุดจะกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกให้เกิดการสะดุดในการขยายตัว แม้แต่กระทั่งเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ก็เป็นสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่พ้น ถ้าหลายประเทศเข้าร่วมในการสู้รบจนนำไปสู่การเกิดสงครามในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะความกังวลที่ประเทศซีเรียและเลบานอนอาจจะเข้าร่วมสู้รบต่อต้านประเทศอิสราเอล

นอกจากนี้ หากสถานการณ์การสู้รบที่รุนแรงจนนำไปสู่ความรุนแรงในการขัดแย้งโดยตรงที่จะเกิดขึ้นระหว่างประเทศอิสราเอลกับประเทศอิหร่าน ซึ่งสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปยืนยันว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย และให้การสนับสนุนทั้งการเงินและอาวุธกับกลุ่มฮามาสติดอาวุธนั้น นักเศรษฐศาสตร์ บลูมเบิร์ก คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกจะพุ่งทะยานขึ้นมากกว่า 150 ดอลลาร์สหรัฐ/บารเรล และภาวะเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวตกต่ำลงมาเหลือเพียง 1.7% ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเกิดภาวะถดถอย สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 37 ล้านล้านบาท

ความขัดแย้งที่รุนแรงในภูมิภาคตะวันออกกลางสามารถทำให้เกิดการสั่นสะเทือนไปทั่วโลกได้ ในเมื่อภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคสำคัญของโลกในการผลิตและส่งออกพลังงาน และเป็นที่ตั้งของช่องทางขนส่งพลังงานออกสู่ตลาดโลกอีกด้วย ในอดีตผ่านมาถึง 50 ปี หรือตั้งแต่สงครามอิสราเอลกับชาติอาหรับ ซึ่งนำไปสู่การคว่ำบาตรห้ามส่งออกน้ำมันดิบ และภาวะเศรษฐกิจหยุดนิ่งท่ามกลางเงินเฟ้อสูง หรือ Stagflation นานหลายปีที่เกิดขึ้นกับประเทศอุตสาหกรรมหลายแห่งทั่วโลก ล้วนเป็นเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นจากผลพวงของภาวะสงครามในตะวันออกกลาง

ปัจจุบัน ปัจจัยในทิศทางลบแวดล้อมเศรษฐกิจโลกยังคงปกคลุมชัดเจน ได้แก่ ภาวะเงินเฟ้อที่ทรงตัวสูงจากเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนในช่วง 2 ปีกว่าผ่านมา หากเกิดการสู้รบหรือนำไปสู่สงครามของประเทศคู่ขัดแย้งที่มีพลังงานเป็นทรัพยากรธรรมชาติ จะเป็นการกดดันเงินเฟ้อให้เพิ่มสูงขึ้นครั้งใหม่อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่จะมีขึ้นในปี 2024 ซึ่งประเด็นราคาพลังงานแพงกลายเป็นประเด็นการเมืองหลักในสหรัฐอเมริกาด้วย