บวกวันแรก! สมาคมนักวิเคราะห์ชี้เหตุหุ้นไทยหายเครียด ปิดบวกครั้งแรกตั้งแต่จบเลือกตั้ง

207
0
Share:
บวกวันแรก! สมาคมนักวิเคราะห์ ชี้เหตุ หุ้นไทย หายเครียด ปิดบวกครั้งแรกตั้งแต่จบ เลือกตั้ง

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด และนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน โพสต์ความเห็นเกี่ยวกับภาวะตลาดหุ้นไทยที่ปิดแดนบวกเป็นวันแรกหลังเสร็จสิ้นเลือกตั้งทั่วไป 2566 มีดังนี้

ผลการเลือกตั้งที่ออกมายิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาด เพราะเป็นการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง การจัดตั้งรัฐบาลอาจไม่ลงตัวง่ายๆ เพราะนอกจากจะไม่มีพรรคไหนได้เสียงเกินครึ่ง พรรคอันดับหนึ่งและสองยังมีคะแนนที่ใกล้เคียงกันมาก หมายความว่าทั้งคู่สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้

ตลาดหุ้นไทยจะมีโอกาสฟื้นในครึ่งปีหลังไหม เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิด “Catch-up Rally” ในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากตลาดหุ้นไทย Underperform ตลาดหุ้นโลกเกือบ 15% ในปีนี้ และเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง ทั้งจากภาคท่องเที่ยวที่น่าจะเร่งตัวขึ้นอีก การฟื้นตัวที่แรงขึ้นของจีน และผลพวงการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐบาลใหม่
ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐ และหลายประเทศในยุโรป มีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยชั่วคราวในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งน่าจะทำให้นักลงทุนเริ่มโยกเงินเข้าตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้น

ในภาวะเช่นนี้ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มกลับมาเป็น “Safe Haven” หรือ “หลุมหลบภัย” ของนักลงทุนโลกอีกครั้งเหมือนในปีที่แล้ว ซึ่งน่าจะทำให้ลดแรงขายของต่างชาติลงได้ แต่โอกาสที่จะเห็นตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นอย่างร้อนแรงน่าจะยังเป็นไปได้ยาก จนกว่าเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ย หรือจนกว่าตลาดจะเชื่อมั่นว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอย่างแน่นอน

“มองว่าโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยภายในปีนี้ยังมีน้อยมาก เพราะเงินเฟ้อยังสูงกว่ากรอบพอสมควร และตลาดแรงงานในสหรัฐ ยังแข็งแกร่งมาก เงื่อนเวลาที่เหมาะสมที่สุดน่าจะเป็นต้นปีหน้า ซึ่งหมายความว่าตลาดหุ้นโลกมีโอกาสกลับสู่ขาขึ้นในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า

ความเสี่ยงทางการเมืองน่าจะเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น เพราะตนเชื่อว่าในที่สุด ไม่พรรคก้าวไกลก็พรรคเพื่อไทย น่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จก่อนการเปิดสภาฯ ในเดือนกรกฎาคม” นายไพบูลย์ ระบุ

นายไพบูลย์ ระบุด้วยว่า ต้องยอมรับว่าผิดคาดที่ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบเกือบตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ทั้งที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศก็คึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดูได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศเฉลี่ยเดือนละเกิน 2 ล้านคน เงินเฟ้อก็กลับเข้าสู่กรอบของแบงก์ชาติที่ต่ำกว่า 3% ดอกเบี้ยไทยก็ยังคงต่ำเกือบที่สุดในโลก เงินบาทก็เริ่มแข็งค่าขึ้น และงบไตรมาส 1 ส่วนใหญ่ก็ออกมาดี

นักวิเคราะห์หลายคนให้เหตุผลว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลง คือปัจจัยหลักที่ฉุดให้ราคาหุ้นลดลง เพราะประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกสินค้าในสัดส่วนสูงถึง 60% ต่อ GDP แต่น่าประหลาดใจที่ตลาดหุ้นของอีกหลายประเทศที่ส่งออกในระดับที่สูงกลับไม่ได้ปรับลดลง เช่น เกาหลีใต้ (+10%) ไต้หวัน (+10%) และญี่ปุ่น (+12%) ตลาดหุ้นสหรัฐ เองก็ปรับขึ้น 7%
ในปีนี้

ส่วนตลาดหุ้น NASDAQ ซึ่งเป็นที่รวมของหุ้นเทคโนโลยี ปรับขึ้นถึง 17% ทั้งที่สหรัฐ คือต้นตอของเกือบทุกปัจจัยลบ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยที่รวดเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ วิกฤติธนาคารล้มหลายแห่ง รวมทั้งปัญหาเพดานหนี้สาธารณะที่ยังไม่มีทางออกแม้แต่ประเทศขนาดใหญ่ในยุโรป เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี ที่เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่และความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงาน ตลาดหุ้นของประเทศเหล่านั้นก็ยังพุ่งขึ้นถึง 15% ในปีนี้

ที่น่าผิดหวังที่สุดคือ ตลาดหุ้นไทยไม่ตอบรับเชิงบวกกับการเลือกตั้งครั้งนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนหรือหลังการเลือกตั้ง ทั้งที่โดยปกติการเลือกตั้งคือปัจจัยบวกที่มีอิทธิพลค่อนข้างสูงต่อราคาหุ้นถ้าเปรียบเทียบตลาดหุ้นทั้งหมด 47 ตลาด ในกลุ่ม Developed Markets และ Emerging Markets ซึ่งครอบคลุมเกือบ 100% ของมูลค่าตลาดหุ้นโลก มีเพียง 9 ตลาดหุ้นเท่านั้นที่ปรับลดลงในปีนี้ และไทยคือตลาดหุ้นที่ลดลงเกือบมากที่สุด

“ตนเชื่อว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยติดลบในปีนี้ เกิดจากนักลงทุนตั้งความหวังกับผลพลอยได้ที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยจากนโยบายเปิดประเทศของจีนไว้สูงเกินไป โดยคาดว่าไทยจะได้รับอานิสงส์อย่างทันทีจากการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีน แต่ในความเป็นจริงจีนไม่ได้ฟื้นตัวร้อนแรงและรวดเร็วอย่างที่คิด

ความคาดหวังที่สูง ทำให้ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นในปีที่แล้ว ในขณะที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับลดลงเฉลี่ย 20% มาในปีนี้ เมื่อเศรษฐกิจจีนไม่ได้ฟื้นเร็วเท่าที่คาด บวกกับธนาคารพาณิชย์ไทยบางแห่งเริ่มส่งสัญญาณแย่ลงของคุณภาพสินเชื่อ เราจึงเริ่มเห็นแรงขายในตลาดหุ้น รวมทั้งเริ่มเห็นการขายหุ้นอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ ที่เทขายหุ้นไทยสูงถึงเกือบ 9 หมื่นล้านบาท ในช่วงกว่า 3 เดือนที่ผ่านมา หลังจากซื้อต่อเนื่องมาตลอดทั้งปีที่แล้ว