ประธานธนาคารกลางสหรัฐมั่นใจลดดอกเบี้ยยังไม่ชัดเจนในอีก 7 สัปดาห์ถึงประชุมดอกเบี้ยรอบ 2

ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด นายเจอโรม พาวเวลล์ กล่าวในรายการ 60 มินิทส์ คืนผ่านมาว่า ในห้วงเวลาอีก 7 สัปดาห์ที่จะถึงการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งที่ 2 ของปีนี้ ยังดูเหมือนว่าคณะกรรมการชุดนี้จะยังไม่ได้ความมั่นใจอย่างเต็มที่ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นได้ทันเวลาในการประชุม 2 วันที่จะมีขึ้นในวันที่ 19-20 มีนาคมนี้

ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ไม่มีความคิดเห็นว่าระยะเวลาดังกล่าวจะมาถึงจริงในการผ่อนคลายดอกเบี้ยลงตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ แต่ความระมัดระวังที่จะต้องทำคือ การให้เวลาและเห็นข้อมูลที่มีความต่อเนื่องให้เกิดความมั่นใจว่าตัวเลขเงินเฟ้อลดลงเข้าเป้าหมายที่ 2% อย่างต่อเนื่อง

ประธานเฟดกล่าวต่อไปว่า ไม่ได้คาดหวังว่ากรรมการจะเปลี่ยนแปลงมุมมองการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในปี 2024 อย่างมากมายไปจากการประเมินเดิมที่คาดว่าในสิ้นปีนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดจะมาอยู่ที่ระดับ 4.6% และอาจปรับลดลงราว 3 ครั้งในปีนี้ ขณะที่ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวทรงตัวในระดับสูงรอบ 23 ปีผ่านมา

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ผ่านมา ซึ่งหลังสิ้นสุดการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งแรกของปีนี้ที่มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นระหว่าง 5.25-6.50% เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน ว่า ส่วนตัวไม่คิดว่า คณะกรรมการจะดูเหมือนมีความมั่นใจที่จะลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในรอบการประชุมครั้งต่อไปในเดือนมีนาคมนี้ การลดดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมไม่ใช่กรณีพื้นฐานแต่อย่างใดสำหรับกรรมการของเฟด ที่สำคัญ เฟดยังไม่สามารถชนะภาวะเงินเฟ้อ เฟดคิดว่ายังคงมีห้วงเวลาต้องรออีกต่อไป

เป้าหมายของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดดูเหมือนจะเป็นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดในรอบการปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยดังกล่าวในห้วงเวลาใดเวลาหนึ่งในปี 2024 นี้ แต่นั่นก็ต้องใช้เวลาอีกมากที่จะต้องเห็นความชัดเจนถ้าหากข้อมูลเศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางสนับสนุนให้เกิดการผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยลงมา

ทั้งรี้ การประชุมของเฟดคืนวันที่ 31 มกราคมผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมรวม 2 วัน และเป็นครั้งแรกในปีนี้ ได้สร้างความผิดหวังให้กับตลาดทุน เนื่องจากตลาดทุนล้วนคาดการณ์ว่าเฟดจะต้องลดดอกเบี้ยระยะสั้นครั้งแรกในเดือนมีนาคม ในขณะที่เฟดตรึงดอกเบี้ยดังกล่าวต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2023 มาถึงวันที่ 31 มกราคม ซึ่งเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน