ปิดสวนทาง! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดลงเกือบ 70 จุด น้ำมันดิบโลกปิดพุ่งกระฉูดเหนือ 96 ดอลล์

128
0
Share:
ปิดสวนทาง! ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดลงเกือบ 70 จุด น้ำมันดิบโลกปิดพุ่งกระฉูดเหนือ 96 ดอลล์

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2023 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 33,550 จุด -68 จุด หรือ -0.20% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 4,274 จุด +0.98 จุด หรือ +0.02% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 13,092 จุด +29 จุด หรือ +0.22%

สาเหตุจากนักลงทุนกลับมีความกังวลมากขึ้นกับแนวโน้มการเกิดภาวะรัฐบาลสหรัฐไม่สามารถปฏิบัติงานได้ หรือ Government Shutdown ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ สาเหตุจากปัญหางบประมาณใช้จ่ายไม่พอ ในเวลาเดียวกัน หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา นายเจอโรม พาวเวลล์ ส่งสัญญาณชัดเจนว่า เฟดยังคงต้องขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 1 ครั้งก่อนถึงสิ้นปีนี้ที่สำคัญ เฟดจะต้องใช้นโยบายการเงินหรืออัตราดอกเบี้ยระยะสั้นตึงตัวตลอดปีหน้า หรือปี 2024 ในขณะที่ผลการประชุมดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด เป็นไปตามคาดหมายด้วยการตรึงดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี 6 เดือน หรือตั้งแต่มีนาคมปี 2022 เป็นการหยุดสถิติการขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวติดต่อกันถึง 11 ครั้ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจึงตัดสินใจขายหุ้นทุกกลุ่มโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถูกเทขายอย่างหนาตา

ปัจจัยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นในคืนผ่านมา ทำให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นสูงถึง 105.78 ไม่เพียงเป็นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นถึง 0.14% แข็งค่าขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 10 ติดต่อกัน และยังทำสถิติค่าเงินดอลลาร์สหรัฐสูงสุดในรอบเกือบ 10 เดือน สอดรับกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาทั้งอายุ 2 ปี และ 10 ปี พุ่งขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันขึ้นแตะระดับ 5.202% และ 4.494% ตามลำดับ ทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 16 ปี หรือตั้งแต่พฤศจิกายนปี 2007 และในรอบ 17 ปี หรือตั้งแต่กรกฎาคมปี 2006 ตามลำดับ สะท้อนถึงภาวะอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสหรัฐอเมริกาอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

ตัวชี้วัดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นในการประชุมเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 41% จากเดิมที่โอกาสตรึงดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ที่ 50%

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 93.68 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +3.29 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +3.6% โดยมีราคาสูงสุดระหว่างวันที่ 94 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้เป็นราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น 2 วันติดกันรวม 4 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +4.4%

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 96.55 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +2.59 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2.8% โดยมีราคาสูงสุดระหว่างวันที่ 97 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้เป็นราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น 2 วันติดกันรวม 3.26 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2.8% ส่งผลเป็นสถิติราคาน้ำมันดิบใกล้สูงสุดในรอบ 10 เดือน หรือตั้งแต่พฤศจิกายนปี 2022

ในปี 2022 ผ่านไปราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์ในสหรัฐอเมริกาลดลงมากถึง
2.2 ล้านบาร์เรล ซึ่งลดลงอย่างมากกว่าที่ประเมินไว้ที่ 320,000 บาร์เรล ในขณะที่ นักลงทุนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะตลาดน้ำมันดิบตึงตัว หลังจากกลุ่มโอเปกพลัสเปิดเผยรายงานสถานการณ์น้ำมันดิบประจำเดือน พบว่า ประเมินความต้องการบริโภคน้ำมันดิบทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีกวันละ 2.24 ล้านบาร์เรลในปีนี้ ในขณะที่ประเมินปีหน้า 2024 ทั้งความต้องการบริโภคจะเพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรล และปริมานการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากประเมินสัญญาณฟื้นตัวของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่

อีไอเอ ยังคาดการณ์ต่อไปว่า สต็อกน้ำมันดิบทั่วโลกจะลดลงถึงเกือบ 500,000 บาร์เรลต่อวันในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ส่งผลให้ประเมินราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ จะมีราคาเฉลี่ยในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ สูงถึง 93 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนักปัจจัยซาอุดีอาระเบียประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบต่อเนื่อง โดยลดผลิตลงวันละ 1 ล้านบาร์เรลอีก 3 เดือน มีผลตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2023 สอดคลัองกับรัฐบาลประเทศรัสเซียประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบต่อเนื่อง โดยลดผลิตลงวันละ 300,000 บาร์เรลอีก 3 เดือน มีผลตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2023 เช่นเดียวกัน ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกพลัสจะลดลงถึงวันละ 1.3 ล้านบาร์เรลนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2023

การประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบมากที่สุดในโลก และรัสเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบนอกกลุ่มโอเปกที่มากที่สุดในโลก รวมกันวันละ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อไปอีก 3 เดือน กลายเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของตลาดพลังงานโลก เนื่องจากเดิมคาดการณ์ว่าทั้ง 2 ประเทศจะลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบถึงเดือนตุลาคมเท่านั้น

ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Gold Spot ปิดที่ 1,875.79 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -24.38 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -13% ขณะที่ราคาทองคำล่วงหน้า หรือ Gold Future นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ระดับ 1,893 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -25.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -1.4% ส่งผลให้ราคาทองคำตลาดโลกดำดิ่ง 3 วันติดต่อกันมากกว่า 40 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์

เมื่อกลางเดือนเมษายนผ่านไป ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาปิดสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ 2,048.71 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากวิกฤตธนาคารเอสวีบี และเอสบี ปิดกิจการและถูกควบคุมโดยทางการสหรัฐอเมริกา

ย้อนกลับไปในปี 2022 ผ่านไปเมื่อเดือนมีนาคม พบว่าราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.49 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพลิกแข็งค่าขึ้น 0.3% มาใกล้เคียงระดับสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 10 เดือน หรือตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นมา สอดรับกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาทั้งอายุ 2 และ 10 ปี ที่ปรับเพิ่มขึ้นใกล้เคียงสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 16 ปี หรือตั้งแต่พฤศจิกายนปี 2007 และในรอบ 17 ปี หรือตั้งแต่กรกฎาคมปี 2006 ตามลำดับเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน สะท้อนถึงภาวะอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสหรัฐอเมริกาอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง