ปิดเขียวต่อ! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดขึ้นกว่า 100 จุด น้ำมันดิบโลกปิดขึ้นเหนือ 80 ดอลลาร์

206
0
Share:
ปิดเขียวต่อ! ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดขึ้นกว่า 100 จุด น้ำมันดิบโลกปิดขึ้นเหนือ 80 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 34,108 จุด +103 จุด หรือ +0.3% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 4,019 จุด +29 จุด หรือ +0.73% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,256 จุด +113 จุด หรือ +1.01%

ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดลดลง -2.77%, -3.37% และ -3.99% ตามลำดับ ทำให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์รายสัปดาห์ปิดต่ำสุดในรอบ 2 เดือนกว่า หรือนับตั้งแต่กันยายนผ่านมา

สาเหตุจากกระทรวงแรงงาน สหรัฐอเมริกา ประกาศอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤศจิกายนในสหรัฐอเมริกาขยายตัวเพิ่มขึ้นแต่ต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ต่ำจากที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม และเพิ่มขึ้นเพียง 7.1% ต่ำจากที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 7.3% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีผ่านมา สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปพื้นฐาน พบว่า ขยายตัวเพิ่มขึ้นแต่ต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ต่ำจากที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม และเพิ่มขึ้นเพียง 6.0% ต่ำจากที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6.1% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีผ่านมา ขณะเดียวกัน ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้นอายุ 10 ปี ลดต่ำลงกว่า 3.5%

ในสัปดาห์ผ่านไป เงินเฟ้อของผู้บริโภคชาวอเมริกันใน 1 ปีข้างหน้า ประจำเดือนพฤศจิกายน พบว่าลดต่ำลงมาอยู่ที่ระดับ 5.2% ซึ่งลดลงจากเมื่อเดือนตุลาคมถึง 0.7% ด้านธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟดเริ่มต้นประชุมวันแรกใน 2 วัน ซึ่งจะมีการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นตามที่ตลาดคาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% โดยจะประกาศในวันที่ 14 ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันที่ 15 ธันวาคมตามเวลาไทย

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 75.39 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +2.22 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +3% ทำสถิติราคาพุ่งขึ้นใน 1 วันมากที่สุดในรอบ 1 เดือน 1 สัปดาห์ หรือตั้งแต่ 4 พฤศจิกายนผ่านมา ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 80.68 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +2.69 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +3.5% ทำสถิติราคาพุ่งขึ้นใน 1 วันมากที่สุดในรอบ 1 เดือน 1 สัปดาห์ หรือตั้งแต่ 4 พฤศจิกายนผ่านมา ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่ง ปิดลดลง -10% ทำสถิติราคาน้ำมันดิบรายสัปดาห์ที่ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 7 เดือนครึ่งหรือตั้งแต่เมษายน และในรอบ 3 เดือนครึ่งหรือตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม ตามลำดับ

สาเหตุจากอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนในสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้นแต่ต่ำกว่าเป้าหมาย ทำให้ลดแรงกดดันต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของแบงก์ชาติสหรัฐอเมริกาในการประชุมคืนวันพรุ่งนี้ ส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง นอกจากนี้ ท่อส่งน้ำมันดิบมีชื่อว่าคีย์สโตนจากแคนาดามาสหรัฐอเมริกา ต้องใช้เวลาซ่อมแซมนานกว่าคาดไว้ หลังจากพบการรั่วไหลของน้ำมันดิบเป็นจำนวนถึง 14,000 บาร์เรลในสัปดาห์ผ่านไป ทำสถิติน้ำมันดิบรั่วไหลมากที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี ส่งผลกระทบต่อปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง โอกลาโฮมา สหรัฐอเมริกา

รัสเซียขู่ลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบเพื่อตอบโต้กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของโลกทั้ง 7 ประเทศ หรือกลุ่มจี 7 ประกาศการประกาศใช้มาตรการจำกัดเพดานราคาน้ำมันดิบที่ขนส่งทางทะเลจากประเทศรัสเซียที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคมนี้

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,825.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +33.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ +1.9% ทำสถิติราคาทองคำปิดสูงสุดในรอบ 5 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายนผ่านมา ก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะกลางอายุ 10 ปี ร่วงลงอย่างมาก โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดิ่งลงต่ำสุดในรอบเกือบ 6 เดือน เป็นผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนในสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้นแต่ต่ำกว่าเป้าหมาย นักลงทุนยังคงรอการประชุมของเฟดที่จะประกาศการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นในคืนวันพรุ่งนี้ ซึ่งตลาดคาดว่าจะปรับขึ้นเพียง 0.5% และประเมินไปถึงการประชุมครั้งแรกในปี 2023 ในเดือนกุมภาพันธ์ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นเพียง 0.25%