พรรคการเมือง เน้นชูนโยบายแก้เศรษฐกิจ เน้นแก้ค่าไฟ-น้ำมันแพง หวังปากท้องประชาชนดีขึ้น

187
0
Share:
พรรคการเมือง เน้นชู นโยบายแก้เศรษฐกิจ เน้นแก้ค่าไฟ- น้ำมันแพง หวังปากท้องประชาชนดีขึ้น เลือกตั้ง

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงนโยบายการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยเฉพาะเรื่องการทำมาหากิน และเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ เห็นความสำคัญเรื่องความมั่นคงด้านเศรษฐกิจของประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีความต้องการที่แตกต่างกัน จะต้องมีการวางรากฐานเพื่อให้คนกลุ่มต่าง ๆ สามารถอยู่ต่อได้ในภาวะค่าครองชีพปัจจุบัน โดยหาแนวทางว่าทำอย่างไรจะสามารถลดค่าครองชีพให้กับประชาชนแบบเป็นไปได้

โดยกรณีของพลังงานที่มีราคาแพง เรื่องราคาน้ำมัน พรรคมีแนวคิดว่าจะให้มีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปแบบเสรีได้ จะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศถูกลงได้ หากพรรครวมไทยสร้างชาติได้เป็นรัฐบาล หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน หรือไฟฟ้า ก็จะต้องทำตามนโยบายของรัฐอยู่แล้ว เช่น ค่าไฟฟ้า จะมีการกำหนดราคาให้กับผู้มีรายได้น้อย หรือเกษตรกร ที่ใช้ไฟในการดำเนินชีวิต หรือทำมาหากินเพื่อแบ่งเบาภาระ และช่วยลดต้นทุนให้ โดยมีการคำนวณมาแล้วจะอยู่ที่ประมาณยูนิตละ 3.90 บาท เป็นนโยบายของรัฐบาลพรรครวมไทยสร้างชาติ

ส่วนกรณีนำบัตรสวัสดิการ พลัส ของพรรคไปเปรียบเทียบกับนโยบายการแจกเงินดิจิทัลว่า เงินดิจิทัลที่บอกว่าจะแจก 10,000 บาท ไม่ใช่เงินจริง แต่บัตรสวัสดิการพลัส ที่ต่อยอดมาจากบัตรลุงตู่ จะได้เดือนละ 1,000 บาท 1 ปีจะได้ 12,000 บาท มากกว่าเงินดิจิทัล 2,000 บาท ถ้า 4 ปีก็จะได้ถึง 48,000 บาท ซึ่งเป็นเงินจริง ๆ นอกจากนี้ ยังเป็นบัตรที่เป็นหลักประกันได้อีก เมื่อเดือดร้อนฉุกเฉินสามารถกู้ยืมเงินจากธนาคารของรัฐได้ถึง 10,000 บาท ถ้ารวมแล้วบัตรนี้จะช่วยเหลือประชาชนได้ถึง 58,000 บาท และที่สำคัญที่สุดคือ นี่คือเงินจริง ๆ ที่ประชาชนจะได้รับ

“นโยบายของพรรค ทำตามสิ่งที่ทำมาแล้ว เวลาเราบริหารประเทศ ก็จะมีเงินได้ที่ทยอยมา ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะเอาเงินงบประมาณมาทีเดียวหมด ของเราเป็นไปตามเงื่อนไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงินการคลัง และวินัยทางการเงินของประเทศ เพราะ 8 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้วางรากฐาน จนมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และระบบการเงินแล้ว ดังนั้น เราจึงรู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อจะให้ประชาชนได้ประโยชน์ด้วย ไม่เสียวินัยทางการเงินการคลัง และไม่กระทบภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือความเชื่อมั่นของต่างชาติที่มีกับเงินบาท และเศรษฐกิจไทย” นายพีระพันธุ์ กล่าว