ฟิทช์ เรทติ้งส์ หั่นเครดิต CPALL- MAKRO ลงเหลือ A-

1992
0
Share:

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยผ่านเอกสารเผยแพร่ว่า ได้ประกาศปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว ของ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO เนื่องจากห่วงว่าอัตราการลดลงของหนี้สินที่ช้าลง ธุรกิจที่ฟื้นตัวช้าเนื่องจากผลกระทบของการระบาดโควิด-19 และผลกระทบในการถือหุ้นร่วมกันระหว่าง 2 บริษัท
.
โดย ฟิทช์ฯ ได้ ลดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) ของ CPALL เป็น A-(tha) จาก A(tha) แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ เนื่องจากอัตราการลดลงของอัตราส่วนหนี้สินของ CPALL ซึ่งวัดจาก อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ไม่น่าจะสอดคล้องกับอันดับเครดิตเดิม
.
เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงอย่างมากหลังจากการระบาดโควิดระลอกใหม่ในเดือนธ.ค.63 ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลสิ้นปีอยู่ในระดับต่ำ และแนวโน้มดังกล่าวน่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องในปี 64 ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ CPALL น่าจะอยู่ในระดับ 5.5 เท่าในปี 65 ซึ่งสูงกว่าระดับ 5 เท่าในประมาณการเดิม
.
สำหรับอัตราส่วนหนี้สินของ CPALL เพิ่มสูงขึ้นจากการเข้าลงทุนในสัดส่วน 40% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ บริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ Tesco Stores (Malaysia) Sdn. Bhd. (ต่อไปรวมกันเรียกว่า “เทสโก้ เอเชีย”) ในเดือนธ.ค.63 ฟิทช์ไม่คาดว่าเทสโก้ เอเชีย จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ CPALL ในปี 64-65 เนื่องจาก เทสโก้ เอเชียอาจต้องมีค่าใช้จ่ายลงทุนและภาระดอกเบี้ยจ่ายของเงินกู้ของบริษัทที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อถือหุ้นของเทสโก้ เอเชียโดยตรง
.
ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ CPALL จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 6.6 เท่า ณ สิ้นปี 63 หลังจากการเข้าซื้อกิจการเทสโก้ เอเชีย ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวจะลดลงมาอยู่ในระดับ 6 เท่า ในปี 64 และ 5.5 เท่า ในปี 65 ซึ่งยังคงสูงกว่าระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิต ‘A(tha)’ CP ALL ได้ใช้เงินลงทุนจากการกู้ยืมจำนวนประมาณ 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 8.6 หมื่นล้านบาท) ในการลงทุนในสัดส่วน 40% ของ เทสโก้ เอเชีย ในขณะที่บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อถือส่วนได้ส่วนเสียทางเศรษฐกิจทั้งหมดของเทสโก้ เอเชียโดยตรง จะมีการก่อหนี้อีก 4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
.
ด้านรายได้ของ CPALL จะเติบโตในอัตรา 7-8% ในปี 64 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้เดิมที่ 11-12% เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโคโรนาในประเทศไทยตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค.63 กระทบต่อการฟื้นตัวของจำนวนลูกค้า และความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในปี 64 ด้วย โดย คาดว่า อัตราการเติบโตของยอดขายของ CPALL น่าจะอยู่ที่ 9-10% ในปี 65 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการมีวัคซีน และการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ แต่การฟื้นตัวดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับต่ำเกินกว่าที่จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินของ CPALL ลดลงมาอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตเดิมได้
.
ส่วนอัตราการเติบโตของยอดขายของร้าน 7-Eleven ในปี 64 น่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดร้านใหม่อย่างต่อเนื่องเป็นหลัก ในขณะที่ยอดขายต่อร้านเดิม ไม่น่าจะมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ฟิทช์เชื่อว่าการระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโคโรนา น่าจะทำให้ร้านเปิดใหม่ใช้เวลานานขึ้นกว่าเดิมที่จะทำให้ผลประกอบการมีกำไร ส่วนธุรกิจค้าส่งของ MAKRO ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CPALL น่าจะได้รับผลกระทบในระดับที่น้อยกว่า เนื่องจากยอดขายที่ลดลงของกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยง (HORECA) น่าจะได้รับการชดเชยบางส่วนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากช่องทางออนไลน์และจากลูกค้าประเภทครัวเรือน
.
ด้าน EBITDAR Margin ของ CP ALL จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 9.5% ในปี 64-65 หลังจากลดลงมาอยู่ในระดับประมาณ 9% ในปี 63 (ในปี 62 อยู่ที่ 10%) ทั้งนี้ เป็นผลจากยอดขายที่ลดลงในสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานที่ยากลำบากมากขึ้น รวมถึงโครงสร้างค่าใช้จ่ายที่มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายคงที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้นโยบายการลดต้นทุนมีผลจำกัด อัตราส่วนกำไรของ CP ALL ลดลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการเปิดร้าน 7-Eleven สาขาใหม่ที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่ขึ้น ทำให้มีค่าใช้จ่ายด้านบุคคลากรสูงขึ้น รวมถึง สาขาในต่างประเทศของ Makro ซึ่งยังมีอัตรากำไรอยู่ในระดับต่ำในช่วงแรกของการเปิดดำเนินการ
.
ด้าน บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO ทางฟิทช์ฯ ได้ประกาศปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) ของ เป็น ‘A-(tha)’ จาก ‘A(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ของ MAKRO เป็น ‘F2(tha)’ จาก ‘F1(tha)’
.
การปรับลดอันดับเครดิตของ MAKRO เป็นไปตามการปรับลดอันดับเครดิต ของบริษัทแม่อย่าง CPALL เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในอันดับเครดิตของทั้งสองบริษัทมีความเกี่ยวโยงกันในระดับปานกลางจากความเกี่ยวโยงกันในด้านการดำเนินงานในระดับปานกลางและความเกี่ยวโยงกันในด้านกฎหมายในระดับต่ำ โดยฟิทช์เห็นว่า Makro มีสถานะทางเครดิตที่แข็งแกร่งกว่า ดังนั้น Makro จึงได้รับการจัดอันดับเครดิตเท่ากับสถานะเครดิตของกลุ่ม CP ALL ตามที่กำหนดในหลักเกณฑ์ของฟิทช์เรื่อง Parent Subsidiary Linkage
.
โดยอันดับเครดิตของ MAKRO มีปัจจัยสนับสนุนจากสถานะผู้นำทางการตลาดของ CPALL ในธุรกิจค้าปลีกประเภทอาหารของประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งตลาดร้านสะดวกซื้อประมาณ 60% โดยวัดจากจำนวนร้านค้า แต่ถูกลดทอนด้วยอัตราส่วนหนี้สินของ CPALL ที่อยู่ในระดับสูง โดยวัดจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ซึ่งฟิทช์คาดว่าจะอยู่ในระดับประมาณ 5.5 เท่า ถึง 6.0 เท่าในปี 64-65
.
ส่วนสถานะเครดิตโดยลำพังของ MAKRO ได้รับการประเมินให้อยู่ในระดับ A(tha) ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่งสมัยใหม่ (Modern-Trade Food Wholesale) ของประเทศไทย และอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำ
.
ส่วนรายได้ MAKRO คาดว่าจะเติบโตของรายได้ประมาณ 3% ในปี 63 และ 5-6% ต่อปีในปี 64 โดยกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยง (HORECA) น่าจะอ่อนแออย่างต่อเนื่องในปี 64 เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโคโรนาในประเทศไทย และแนวโน้มการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่น่าจะช้ากว่าที่คาดไว้เดิม
.
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบดังกล่าวได้รับการบรรเทาจากยอดขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากลูกค้าประเภทครัวเรือน ซึ่งหันมาทำอาหารรับประทานเองที่บ้าน รวมถึงมีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความสะอาดปลอดภัยของอาหารจากการรับประทานอาหารนอกบ้านและการซื้ออาหารในตลาดสด
.
นอกจากนี้ ยอดขายของ Makro ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการให้บริการแบบ Omni Channels และยอดขายที่เพิ่มขึ้นของสาขาต่างประเทศ ซึ่งสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากคู่แข่งในท้องถิ่นได้มากขึ้น ทำให้ยอดขายสินค้าทางออนไลน์ของ MAKRO เพิ่มขึ้นเป็น10% ของยอดขายรวมในปัจจุบัน (จาก 7% ในช่วงกลางปี 63)
.
ด้าน EBITDAR Margin ของ MAKRO น่าจะลดลงในปี 63-65 เนื่องจากสัดส่วนยอดขายของสาขาในต่างประเทศที่สูงขึ้น โดยยอดขายดังกล่าวมีอัตราส่วนกำไรที่ต่ำในช่วงแรกของการดำเนินกิจการ
.
ขณะที่อัตราส่วนหนี้สิน FFO adjusted net leverage ของ MAKRO น่าจะเพิ่มสูงขึ้นแต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 1.3 เท่า – 1.5 เท่า อัตราส่วนหนี้สินของ MAKRO ยังคงอยู่ในระดับต่ำตั้งแต่ปี 62 ซึ่งเป็นผลจากการที่ Makro ได้ชะลอการขยายสาขาในต่างประเทศ เนื่องจากมีอุปสรรคในการหาทำเลที่ดีสำหรับการขยายสาขา รวมถึงบริษัทฯ มุ่งเน้นการปรับปรุงความสามารถในการสร้างรายได้และประสิทธิภาพของสาขาที่ได้เปิดไปแล้วให้สูงขึ้น ในขณะที่การระบาดของเชื้อไวรัส ทำให้แผนการขยายธุรกิจในต่างประเทศยิ่งชะลอออกไป เนื่องจากข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศ