มี 3 เคส! ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิด 3 ฉากทัศน์การจัดตั้งรัฐบาลใหม่

222
0
Share:
มี 3 เคส! ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิด 3 ฉากทัศน์การ จัดตั้งรัฐบาล ใหม่

วชิรวัฒน์ บานชื่น Senior Market Strategist Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลาดการเงินไทยและโลกเผชิญความไม่แน่นอนสูง ทำให้เงินบาทมีแนวโน้มผันผวน ทั้งจาก

1. ประเด็นเรื่อง US Debt ceiling ที่ยังไม่สามารถหาขอยุติได้ โดยกระทรวงการคลังสหรัฐประเมินว่าสหรัฐอาจผิดชำระหนี้อย่างเร็วในวันที่ 1 มิ.ย. (X-date) ซึ่งหากภาครัฐไม่สามารถขยายเพดานหนี้ได้ทัน ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอลงรุนแรงจนอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ เงินดอลลาร์สหรัฐอาจอ่อนค่าเร็ว เงินทุนไหลออก ตลาดหุ้นลดลงมาก

2. ภาวะการเงินโลกตึงตัวยังต่อเนื่อง จากนโยบายการเงินและการปล่อยสินเชื่อที่ยังเข้มงวด โดย Fed มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี ขณะที่ ECB ยังมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก 2 ครั้งในปีนี้ นอกจากนี้ ความเสี่ยงในภาคสถาบันการเงินในสหรัฐ และยุโรป ทำให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ

และ 3. การจัดตั้งรัฐบาลยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก เป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกแม้จะฟื้นตัวดีจากการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน สอดคล้องกับภาคการท่องเที่ยวและบริการที่ฟื้นตัวดี อย่างไรก็ดี ระยะเวลาในการการจัดตั้งรัฐบาล จะส่งผลต่อการเบิกจ่ายภาครัฐในไตรมาส 4 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ไทยพาณิชย์ประเมินว่า หากพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลกลับเข้าตลาดการเงินไทย ทำให้เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นปานกลาง โดยอาจแตะระดับ 33.70-33.90 ได้

ส่วนกรณีพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากสามารถจัดตั้งรัฐบาล แต่ชื่อที่เสนอไม่ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี เงินบาทอาจอ่อนค่าในช่วงแรกสู่ระดับ 34.95-35.15 แต่อาจกลับมาแข็งค่าสู่กรอบ 33.90-34.20 ได้ หลังได้นายกฯ จากพรรคร่วมรัฐบาล

แต่หากเกิดการประท้วงผลการเลือกตั้งเป็นวงกว้าง หรือไม่สามารถแต่งตั้งนายกฯ ได้ หรือรัฐบาลไม่สามารถผ่านมติได้ (เกิด political gridlock) จนต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ เงินบาทอาจอ่อนค่าเร็ว โดยอาจเกินระดับ 35.35 บาทต่อดอลลาร์ได้

อย่างไรก็ตาม แม้ความกังวลต่อสถานการณ์ US Debt ceiling ล่าสุดจะเริ่มคลี่คลาย แต่ความไม่แน่นอนยังมีอยู่มาก ซึ่งหากยังหาข้อยุติไม่ได้ อาจทำให้ yield curve สหรัฐ ลาดชันน้อยลง (flatten) โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ระยะยาว (อายุ 10 ปี) มีแนวโน้มอยู่ในกรอบ 3.30-3.70% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ระยะสั้น (อายุ 2 ปี) มีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะ SCB FM ประเมินว่า ตราบใดที่ตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง Fed มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในปีนี้ ทำให้ yield curve สหรัฐฯ อาจลาดชันน้อยลง (flatten) ดังนั้น SCB FM จึงยังแนะนำให้ลูกค้าพิจารณาทำธุรกรรม hedging ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ระยะ 1-2 ปี โดยเข้าทำ pay fixed USD เพราะลูกค้าจะได้รับ initial cost saving จากการจ่ายดอกเบี้ย fixed rate ซึ่งต่ำกว่า float rate (SOFR) ที่จ่ายในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ไทยพาณิชย์ยังประเมินว่ามีโอกาสที่ กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปถึง 2.50% ในปีนี้ โดยการสื่อสารของ กนง. ล่าสุด ไปในทิศทาง hawkish เนื่องจากคณะกรรมการมองว่า เงินเฟ้อจะกลับมาเร่งตัวขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (Real policy rate) ของไทยยังคงติดลบ ซึ่งมองว่าต่ำเกินไป ทำให้มีแนวโน้มที่ กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องไปสู่ระดับ 2.50% ในการประชุมเดือนกันยายน จึงแนะให้ลูกค้าป้องกันความเสี่ยงโดยการทำธุรกรรม hedging ทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยเข้าทำ pay fixed THB อายุ 2 ปี ที่ระดับไม่เกิน 2.1%