ยังมีลุ้นอีกหรอ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ มองส่งออกปีนี้มีลุ้นโตแตะ 8% เดิมตั้งเป้า 6-8%

254
0
Share:
ยังมีลุ้นอีกหรอ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ มอง ส่งออก ปีนี้มีลุ้นโตแตะ 8% เดิมตั้งเป้า 6-8%

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก เปิดเผยว่า ภาวะการส่งออกในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ส.ค.65) ขยายตัวได้กว่า 11% ส่วนช่วงอีก 4 เดือนที่เหลือ (ก.ย.-ธ.ค.65) ถึงแม้ว่าการส่งออกจะไม่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเลย การส่งออกของปีนี้ก็ยังขยายตัวได้ถึง 7% แต่หากช่วง 4 เดือนที่เหลือสามารถส่งออกได้เฉลี่ยเดือนละ 24,300 ล้านเหรียญสหรัฐ จะทำให้การส่งออกในปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8% จากเป้าหมายที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 6-8% ซึ่งในครั้งต่อไปน่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญ ได้แก่สถานการณ์อัตราเงินเฟ้อของประเทศคู่ค้าสำคัญทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะประเทศสหรัฐฯ ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ดำเนินนโยบายทางการเงินแบบเข้มงวดด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็วเพื่อควบคุมเงินเฟ้อส่งผลให้ เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกามีความเสี่ยงต่อการชะลอตัวอย่างมีนัยยะสำคัญ ก่อให้เกิดความกังวลต่อนักลงทุนและคู่ค้ากับสหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนในการถือเงินดอลลาร์สูงขึ้น อุปสงค์เงินดอลลาร์มากขึ้น ค่าเงินดอลลาร์จึงเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่าอย่างรวดเร็ว และส่งผลต่อเนื่องถึงสกุลเงินอื่นๆ ทั่วโลก (Currency baskets) ให้ปรับตัวอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในทางกลับกันไทยอาจเสียเปรียบจากการส่งออกไปยังตลาดอื่นที่มีค่าเงินอ่อนค่ากว่า โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคาของไทยลดลง

รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงด้านราคาพลังงานทรงตัวในระดับสูงจากสถานการณ์ข้อพิพาทระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ยังคงยืดเยื้อ ปริมาณน้ำมันคงคลังของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ประกอบการปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้า (FT) ภายในประเทศส่งผลต่อเนื่องถึงต้นทุนภาคการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและต้นทุนในการดำรงชีวิตภาคครัวเรือน ปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก

ตลอดจนปัญหาต้นทุนวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) , เหล็ก, ธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน แป้งสาลี อาหารสัตว์ ปุ๋ย เป็นต้น

โดย สรท.มีเสนอให้ภาครัฐเร่งส่งออกในช่วงค่าเงินบาทอ่อน แต่ต้องติดตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด รวมถึงพิจารณาการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงให้เหมาะสม อีกทั้งขอให้ภาครัฐช่วยรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันในประเทศให้อยู่ระดับที่เหมะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคมากเกินไป โดยอยากให้ขยายมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกินลิตรละ 35 บาทไปจนถึงสิ้นปี พิจารณาควบคุมหรือปรับขึ้นค่าไฟฟ้า (FT) ทั้งในภาคการผลิตและภาคครัวเรือน แบบค่อยเป็นค่อยไป และขอให้เร่งแก้ไขปัญหากฎระเบียบด้านการถ่ายลำ (Transshipment) เพื่อดึงดูดเรือแม่เข้ามาให้บริการแบบ Direct Call ให้ไทยเป็นศูนย์กลางการรับส่งสินค้า รวมถึงสามารถบริหารจัดการต้นทุนค่าระวางเรือให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในต่างประเทศได้

สำหรับกรณีเงินบาทอ่อนค่านั้นคงจะไม่ช่วยให้ไทยได้เปรียบเรื่องการแข่งขัน เพราะค่าเงินในภูมิภาคปรับตัวอ่อนค่าเช่นกัน โดยคาดว่าเงินบาทในช่วงไตรมาส 4 จะอยู่ที่ระดับ 37.0-38.50 บาท/เหรียญสหรัฐ แต่มีความเป็นไปได้ที่เงินบาทจะปรับตัวอ่อนค่าไปมากกว่านี้ ขณะที่การส่งออกในหมวดอาหารจะได้รับโอกาสจากวิกฤตอาหารโลก โดยทุกครั้งที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% จะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าราว 1 บาท/เหรียญสหรัฐ เนื่องจากดอลลาร์แข็งค่า ดังนั้นในช่วงปลายปีนี้หากเฟดมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกเชื่อว่าจะมีโอกาสได้เห็นเงินบาทอ่อนค่าแตะ 39 บาท/เหรียญสหรัฐ