ยูโอบีเผยผลสำรวจธุรกิจ SME ในอาเซียน กว่าครึ่งในทุกประเทศต้องการลงทุนเทคโนโลยี

728
0
Share:

ธนาคารยูโอบีร่วมกับแอคเซนเจอร์ (Accenture) และดันแอนด์แบรดสตรีท (Dun & Bradstreet)เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของธุรกิจเอสเอ็มอีในอาเซียนกว่า 1,000 รายเพื่อทำความเข้าใจว่าธุรกิจเอสเอ็มอีปรับตัวอย่างไรต่อสภาพการณ์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนไปภายใต้สถานการณ์โควิด-19
.
โดยพบว่าเอสเอ็มอีในไทยมองว่าต้องการลงทุนในเทคโนโลยีเป็นอันดับแรก คิดเป็นสัดส่วนถึง 71% รองลงมาคืออินโดนีเซีย 65% เวียดนาม 63% สิงคโปร์ 60% และมาเลเซีย 59%
.
ซึ่งเอสเอ็มอีต้องการที่จะลงทุนในด้านเทคโนโลยี แม้ว่ารายได้จากธุรกิจจะลดลงก็ตาม โดย 9 ใน 10 หรือ 88% คาดการณ์ว่ารายได้ในปี 2563 จะลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังวางแผนเพิ่มงบประมาณด้านเทคโนโลยี หมายความว่าเอสเอ็มอีกำลังปรับใช้เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน
.
ลอเรนซ์ โล ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ธุรกิจเล็งเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีมากขึ้น การดำเนินธุรกิจที่ต้องหยุดชะงักตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้หลายบริษัทตระหนักอย่างรวดเร็วว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยให้ ธุรกิจสามารถอยู่รอดและแข่งขันได้ในระยะยาว ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีในการช่วยปรับโมเดลธุรกิจหรือเปลี่ยนกระบวนการปฏิบัติงาน
.
โดยธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องการลงทุนในด้านเทคโนโลยีมากที่สุด คือธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เทคโนโลยีสารสนเทศ และสุขภาพ 50% ธุรกิจก่อสร้าง 48% และธุรกิจค้าปลีก 46% ตามลำดับ
.
นอกจากเทคโนโลยีแล้ว 51% ของธุรกิจเอสเอ็มอีในอาเซียนต้องการลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะพนักงาน และ 40% ต้องการลงทุนในการซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ ในขณะที่การลงทุนที่ธุรกิจเอสเอ็มอีให้ความสำคัญน้อยที่สุดคือการจัดซื้อยานพาหนะ อยู่ที่ 18% เทคโนโลยีช่วยเอสเอ็มอีบริหารกระแสเงินสดและค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ 8 ใน 10 หรือ 81% ของเอสเอ็มอีทั่วทั้งอาเซียนเลือกใช้ดิจิทัลโซลูชันเพื่อบริหารจัดการงินสด เช่น UOB BizSmart ที่ช่วยออกใบแจ้งหนี้อิเลคทรอนิคส์และบันทึกรายการกระทบยอดได้รวดเร็ว
.
อย่างไรก็ตาม 75% ของเอสเอ็มอีในอาเซียนเลือกที่จะพักชำระหนี้เพื่อช่วยลดภาระเรื่องกระแสเงินสด และต่อรองระยะเวลาชำระเงินกับคู่ค้าหรือผู้ให้เช่า และ 73% ต้องการเพิ่มทุนผ่านโปรแกรมความช่วยเหลือด้านการเงินในช่วงโ