รัฐบาลไทยโดยนายกฯประยุทธ์ จะเจรจาการค้า CPTPP ย้ำดูแลผลดี-ผลเสียของไทย

688
0
Share:

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยกำลังพิจารณาจะเข้าร่วมการเจรจาความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership) หรือ CPTPP โดยนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตระหนักดีถึงผลกระทบเชิงบวกและลบที่จะเกิดขึ้น และพร้อมรับฟังข้อห่วงกังวลจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่ผ่านมาได้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและข้อเสนอแนะจากสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่การเจรจาจะเกิดขึ้น

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยต่อไปว่า รัฐบาลไทยได้มีแนวทางการกำหนดเงื่อนไขของการเจรจาที่จะช่วยสร้างผลประโยชน์และดูแลทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น เกษตรกร ผู้ประกอบการทุกขนาด แรงงาน ประชาชน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า ขณะนี้ยังไม่ใช่การตัดสินใจว่าจะเข้าร่วม CPTPP หรือไม่  เป็นเพียงการพิจารณาไปเจรจา ซึ่งการดำเนินการทุกอย่างต้องทำอย่างรอบคอบ และเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของไทย

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า CPTPP จะเพิ่มโอกาสการส่งออกของสินค้าไทยทั้งจากภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม เนื่องจากเป็นการขยายเขตการค้าเสรีและการให้สิทธิพิเศษกับสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศสมาชิก ในส่วนของสินค้าเกษตรที่จะได้ประโยชน์อย่างมากจากการเข้าร่วม อาทิ ยาง ผลไม้ และเนื้อสัตว์

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยืนยันความพร้อมในการร่วมเจรจาความตกลงดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชนและภาคประชาสังคม ได้ศึกษาในรายละเอียด ผลดี ผลเสีย และความพร้อมของไทยมาโดยตลอด การดำเนินการทุกอย่างต้องไม่ให้ภาคการเกษตรเสียเปรียบ และยึดผลประโยชน์เกษตรกรเป็นหลัก ด้านประเด็นที่ประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมเพียงพอ หรืออาจทำให้เกิดความเสียเปรียบ จะตั้งข้อสงวนไว้เบื้องต้นในการเจรจาได้แก่

1) พันธุ์พืช ที่กำหนดให้ประเทศเข้าร่วมจะต้องปฏิบัติตามอนุสัญญา UPOV1991 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้การคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า เกษตรกรจะไม่สามารถเก็บส่วนขยายพันธุ์พืชไว้ปลูกต่อได้ และเมล็ดพันธุ์พืชของไทยถูกผูกขาดทางการค้า ซึ่งกระทรวงฯ ได้กำหนดประเด็นที่จะเจรจาขอสงวนสิทธิ์ไว้หรือขอเว้นการปฏิบัติเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรเป็นสำคัญ เช่น การขอระยะเวลาในการปรับตัวเพื่อเตรียมความพร้อม ก่อนจะปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ การกำหนดเงื่อนไขให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์พืชไว้ปลูกต่อได้ตามวิถีดั้งเดิมของเกษตรกร และอยู่ภายใต้ความเหมาะสมของบริบทประเทศไทย

2) การค้าที่จะมีการยกเลิกหรือลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันในระดับที่สูงมากถึงร้อยละ 95 – 100 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตรของไทยที่มีศักยภาพทางการแข่งขันน้อย แนวทางดูแลเกษตรกรคือการเจราเพื่อให้มีระยะเวลาในการเตรียมความพร้อมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย โดยประเทศสมาชิก CPTPP บางประเทศได้ขอใช้ระยะเวลาในการลดภาษีนานถึง 21 ปี

3)การยกเว้นการใช้มาตรการปกป้องพิเศษ หรือ Special Safeguard (SSG) หรือการอนุญาตให้เก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่เพิ่มขึ้นกรณีมีการนำเข้าสินค้าเกษตรสูงกว่าปริมาณที่กำหนด ซึ่งปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีข้อผูกพันไว้กับองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับสินค้าเกษตร 23 รายการ และจะนำ SSG มาใช้เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เช่น ปี 2563 และ 2564 มีการนำเข้ามะพร้าวเกินกว่าระดับปริมาณนำเข้าที่กำหนด จึงได้มีการจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเจรจาในประเด็นด้านการค้า กระทรวงเกษตรฯ จะขอตั้งข้อสงวนการบังคับใช้มาตรการ SSG ของไทยไว้