ลดต้นทุนการแพทย์ !  ไทยมุ่ง Smart Hospitals ใช้โมเดลการดูแลผู้ป่วยแบบใหม่ 

253
0
Share:

รอยัล ฟิลิปส์ (NYSE: PHG, AEX: PHIA) ผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพระดับโลก ได้เผยถึงผลการสำรวจจากรายงาน Future Health Index (FHI) 2023  ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ในหัวข้อ “Taking Healthcare Everywhere” เป็นผลสำรวจที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 8 โดยทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างเกือบ 3,000 คน ครอบคลุมผู้บริหารแถวหน้าในวงการเฮลท์แคร์ และบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่จาก 14 ประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งจากผลสำรวจพบว่าโมเดลการดูแลผู้ป่วยแบบใหม่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยการนำเทคโนโลยีและข้อมูลมาใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วย เพื่อให้การดูแลรักษามีความใกล้ชิดกับตัวผู้ป่วยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นไปอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในระหว่างที่ต้องเผชิญกับภาวะต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์

แครอไลน์ คลาร์ก ประธานและรองประธานบริหาร ฟิลิปส์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ระบบสาธารณสุขให้บริการจากส่วนกลางหรือโรงพยาบาลเท่านั้น แต่จากผลสำรวจล่าสุด พบว่าผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์ในเอเชียแปซิฟิกส่วนมาก กำลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพื่อรับมือกับปัญหาด้านบุคลากรและต้นทุนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้ป่วย เพราะเราเล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดูแลผู้ป่วยที่จะมีการกระจายบริการด้านสาธารณสุขออกไป ด้วยการนำสมาร์ทและดิจิทัลเฮลท์เทคโนโลยี (Smart and Digital Health Technology) และข้อมูลมาใช้เพื่อเชื่อมต่อบริการสาธารณสุขให้เข้าใกล้ผู้ป่วยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือในชุมชนที่ผู้ป่วยอาศัยอยู่ ให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้ทุกที่ทุกเวลา

นอกจากขยายการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและปรับปรุงผลลัพธ์ของการดูแลผู้ป่วยแล้ว รายงาน FHI ยังเผยให้เห็นว่าการนำโมเดลการดูแลผู้ป่วยแบบใหม่มาใช้ จะช่วยให้ผู้บริหารแถวหน้าของวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคนี้ สามารถขับเคลื่อนให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น โดยสองในสาม (66%) ของผู้บริหารแถวหน้าในวงการเฮลท์แคร์และบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่บอกว่า พวกเขามีความพร้อมในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วยโมเดลการดูแลผู้ป่วยแบบใหม่ ในขณะที่ 63% เชื่อว่าการดูแลรักษาผู้ป่วยสามารถดำเนินการไปได้พร้อมๆ กับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

 ผลสำรวจยังเผยให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกต่อกำลังใจและการรักษาบุคลากรไว้ในองค์กร โดยบุคลากรทางการแพทย์ส่วนใหญ่หวังว่าโมเดลการดูแลผู้ป่วยแบบใหม่จะช่วยให้พวกเขามีสมดุลในการทำงาน (work-life balance) ที่ดีขึ้น (58%) และสร้างความพึงพอใจในการทำงานมากขึ้น (56%) มากกว่าโมเดลการดูแลผู้ป่วยแบบเดิมๆ

 การนำโมเดลการดูแลผู้ป่วยแบบใหม่มาใช้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้รับแรงหนุนจากการลงทุนเพิ่มในเทคโนโลยีดิจิทัลเฮลท์ และการขยายของระบบออนไลน์ (virtual care) ไปยังส่วนต่างๆ ในระบบนิเวศด้านเฮลท์แคร์ โดย48% ของผู้บริหารแถวหน้าในวงการเฮลท์แคร์ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ลงทุนในบันทึกดิจิทัลด้านสุขภาพมากที่สุด และเกือบสามในสี่ (74%) ของผู้บริหารแถวหน้าในวงการเฮลท์แคร์ในภูมิภาคมีแผนที่จะลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในอีก 3 ปีข้างหน้า นำโดยสิงคโปร์ (84%) ตามด้วยอินโดนีเซีย (76%) และออสเตรเลีย (63%) เพื่อนำไปใช้ในการคาดการณ์ผลลัพธ์ (39%) 

สำหรับประเทศไทย มากกว่าร้อยละ 45 ของหน่วยบริการด้านเฮลท์แคร์ได้ถูกพัฒนาไปสู่การเป็น Smart Hospitals โดยกระทรวงสาธารณสุขได้มีการกำหนดกลยุทธ์เพื่อนำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในโรงพยาบาล และมีการตั้งเป้าหมายเพื่อพัฒนาโรงพยาบาลและบริการด้านเฮลท์แคร์สู่การเป็น Smart Hospital[1]

ขณะเดียวกันการเพิ่มขึ้นเท่าตัวของเทคโนโลยีดิจิทัลกลยุทธ์สำคัญต่อวงการเฮลท์แคร์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อรับมือกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรและความพึงพอใจในการทำงานและแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรกำลังเป็นปัญหาสำคัญของวงการสาธารณสุขทั่วโลก

จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติและกระทรวงสาธารณสุขเผยอัตราแพทย์ในประเทศไทยคือแพทย์ 0.5 คน ต่อประชากร 1,000 คน ในขณะที่ WHO ระบุไว้ว่าอัตราที่เหมาะสมคือแพทย์ 2.8 คนต่อประชากร 1,000 คน นอกจากนี้ แผนกำลังคนตามการจัดระบบบริการโดยเขตสุขภาพแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยังขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์มากกว่า 38,174 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นแพทย์ 6,115 ตำแหน่งและเป็นพยาบาล 28,174 ตำแหน่ง

สามารถเข้าถึงรายงาน Future Health Index 2023 ฉบับเต็มได้ที่ Philips Future Health Index 2023