ล็อกเป้าเดิม! หมอมิ้งชี้คนไทยเป็นหนี้สิน ทุบโต๊ะล็อกเป้าคนกลุ่มเดิม ไม่ล้มเงินดิจิตอล 10,000

469
0
Share:

นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการเติมเงินดิจิตอล 10,000 บาท เป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่มาช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน แม้จะมีมาตรการลดราคาพลังงานไปแล้ว พร้อมยืนยันว่ากระทรวงการคลังได้ชี้แจงโครงการเงินดิจิตอล 10,000 บาทครบถ้วนไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ ซึ่งถือเป็นการแถลงครั้งใหญ่และชี้ให้เห็นว่า ภารกิจครั้งใหญ่ในการทำให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งปัญหาประชาชนจะแก้อย่างไรนั้นเป็นความท้าทายของรัฐบาลนี้ หรือจะให้อยู่เฉยๆแล้วจนถาวร

สำหรับโครงการเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลหวังว่าจะให้เศรษฐกิจดีขึ้น เพราะตอนนี้มีหลายประเทศที่ฟื้นตัวด้านเศรษฐกิจเกินหน้าประเทศไทยไปแล้ว ในขณะที่ประเทศไทยยังค่อยค่อยขยับอย่างช้าๆ การเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ผ่านมา ไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดการณ์ไว้ นั่นหมายความว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้ดีขึ้น

เห็นได้จากการเงินการคลังจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาจากร้อยละ5 เหลือร้อยละ 0.3 นั่นคือความต้องการน้อยลงแต่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มไปถึงร้อยละ 2.5 ดังนั้นภาระต่างๆจึงตกอยู่ที่ประชาชน เป็นหนี้สิน และต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น มาตรการที่สำคัญ จึงต้องมี เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์

ส่วนความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนเป้าหมายให้ใช้กับกลุ่มเปราะบางนั้น ย้ำว่ากว่าร้อยละ 90 ทุกคนเป็นหนี้ ดังนั้นจึงต้องให้ความเท่าเทียมกัน และขณะนี้คนที่มีรายได้มาก เมื่อซื้อของก็ต้องมีการสมทบและใช้จ่ายเพิ่ม ดังนั้น ความแตกต่างในแต่ละกลุ่มมี จึงต้องไปดูในรายละเอียด และยืนยันว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการจ่ายเงินดิจิทัลให้กลุ่มเด็กอายุ 16 ปีนำไปใช้ เนื่องจากหลักการสำคัญของการตั้งโครงการนี้คือการให้ประโยชน์กับทุกคน แต่มีการเตรียมพร้อมในเรื่องนี้ และดูการเปลี่ยนจัดการ รวมถึงดูข้อจำกัดด้านกฎหมาย และการบริหารการเงินว่าจะทำอย่างไร

แต่ประวัติที่ผ่านมา รัฐบาลพรรคไทยรักไทยทำให้ประเทศที่เป็นหนี้สินในยุคกู้เงินไอเอ็มเอฟที่เกือบล้มละลายไปแล้วกู้กลับคืนมาได้ และคืนหนี้ได้ก่อนถึง 2 ปี

หรือแม้แต่โครงการกองทุนหมู่บ้าน ก็สามารถที่จะสร้างรายได้ และในยุคของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรก็ได้บริหารงบประมาณอย่างสมดุล และรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญในเรื่องวินัยการเงินการคลัง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้ครอบคลุมทุกกลุ่มตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด เป็นสิทธิเท่ากันที่จะนำไปใช้ ส่วนคนที่ไม่ใช้ก็ไม่เป็นไร เพราะอยู่ที่สิทธิ์ของแต่ละคนจะใช้หรือไม่ใช้

ส่วนกรณีที่นักวิชาการมองว่าโครงการนี้จะซ้ำรอยกับ โครงการรับจำนำข้าวนั้นยืนยันว่ารัฐบาลที่ผ่านมามีการกู้เงิน 1.5 ล้านล้านบาท แต่โครงการนี้ใช้ 560,000 ล้านบาท จึงเป็นการใช้ เงินอย่างระมัดระวัง และเม็ดเงินที่ลงไปเป็นการทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต