วัคซีนต้านโควิดตระกูล 2 ซิ ให้ใช้เป็นทางเลือกฉีดเด็ก 6 ขวบขึ้น แนะฉีดสูตรไขว้ในเด็ก
วานนี้ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ประกาศคำแนะนำการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดสำหรับเด็ก ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 10 ก.พ.65 การระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่อย่างรวดเร็ว ร่วมกับการเปิดให้ทำกิจกรรมมากขึ้น และการเปิดเรียนในสถานศึกษา ข้อมูล ณ วันที่ 2 ก.พ.65 พบผู้ป่วยเด็กคิดเป็น 20% จากผู้ป่วยทั้งหมด
ราชวิทยาลัยฯ แนะนำการฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กเล็ก อายุ 5-12 ขวบ และเด็กวัยรุ่น อายุตั้งแต่ 12 ขวบขึ้นไป เป็นวัคซีนชนิด mRNA ไฟเซอร์ เป็นลำดับแรก โดยวิธีฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 2 เข็ม ห่างกัน 8 สัปดาห์ โดยการเว้นระยะห่างที่นานขึ้นทำให้ระดับภูมิคุ้มกันในเข็มที่ 2 สูงขึ้น ระยะเวลาในการป้องกันนานขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้
และพิจารณาให้ใช้วัคซีนชนิดเชื้อตาย ซิโนแวคและซิโนฟาร์ม เป็นวัคซีนทางเลือก ในเด็กอายุตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไป โดยแนะนำให้ฉีดสูตรไขว้ วัคซีนเชื้อตาย (ซิโนแวคหรือซิโนฟาร์ม) เป็นเข็มที่ 1 และให้วัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 2 โดยวิธีฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ห่างจากเข็มที่ 2 อย่างน้อย 4 สัปดาห์ขึ้นไป
ส่วนวัคซีนเข็มกระตุ้น ในเด็กอายุ 12-18 ปี ที่เคยฉีดวัคซีนไฟเซอร์ครบ 2 เข็ม อย่างน้อย 4-6 เดือน ให้ฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์อีก 1 เข็ม โดยแนะนำให้ฉีดในเด็กกลุ่มเสี่ยง ป่วยโรคประจำตัวเรื้อรังก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นให้ฉีดเข็มกระตุ้นในเด็กปกติเป็นลำดับถัดไป
สำหรับเด็กที่เคยได้รับวัคซีนชนิดเชื้อตาย 2 เข็ม ให้กระตุ้นด้วยไฟเซอร์ โดยฉีดห่างจากวัคซีนชนิดเชื้อตายอย่างน้อย 4 สัปดาห์
ส่วนเด็กวัยรุ่นที่เคยติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อแสดงอาการหรือไม่ก็ตาม หากยังไม่เคยฉีดวัคซีนแนะนำให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เมื่อครบ 3 เดือน หลังมีอาการป่วย หรือเมื่อทราบผลตรวจติดเชื้อ
อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนในเด็กเล็กและเด็กวัยรุ่นในประชากรจำนวนมาก ควรให้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ไม่แนะนำฉีดในชั้นผิวหนัง
ราชวิทยาลัยฯ ยังให้คำแนะนำถึงเด็กที่ได้รับวัคซีนชนิดเชื้อตาย 2 เข็ม แม้ได้รับเข็มกระตุ้นด้วยชนิดเชื้อตายอีก 1 เข็ม ระดับภูมิคุ้มกันไม่เพียงพอในการป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน จึงแนะนำฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนชนิด mRNA ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ฉีดซิโนแวคหรือซิโนฟาร์ม 2 เข็ม และะไม่แนะนำให้สลับฉีดโดยให้วัคซีนชนิด mRNA เป็นวัคซีนเข็มแรกและให้วัคซีนชนิดเชื้อจายเป็นเข็มที่ 2 เพราะจะได้ระดับภูมิคุ้มกันที่ไม่ดี
