วายแอลจี เผยภาพรวมทองคำปี 2565 ผันผวนหนัก 20% คาดปี 66 แนวโน้มสดใสจาก 4 ปัจจัยหนุน

273
0
Share:
วายแอลจี เผยภาพรวม ทองคำ ปี 2565 ผันผวนหนัก 20% คาดปี 66 แนวโน้มสดใสจาก 4 ปัจจัยหนุน

บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เปิดเผยว่าภาพรวมทองคำปี 2565 เคลื่อนไหวผันผวนหนักเหวี่ยงกว่า 20% จากจุดสูงสุดที่ 2,069 ไปแตะจุดต่ำสุดที่ 1,614 แต่ช่วงปลายปีเริ่มกลับมาสัญญาณดี หลังเฟดเริ่มมีท่าทีขึ้นดอกเบี้ยน้อยลง กองทุน SPDR เริ่มซื้อทองคำหลังจากเทขายเกือบตลอดปี มองสัญญาณที่ดีส่งผลต่อเนื่องถึงปีหน้า จาก 4 ปัจจัยหนุนสำคัญ ทั้งความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯฯถดถอย เฟดอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้น้อยลงและมีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี ขณะเดียวกันกองทุน SPDR มีสัญญาณขายน้อยลงสลับกลับมาซื้อทองคำ และความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนแม้จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวราคาทองคำน้อยลงแล้วแต่ก็ยังต้องจับตามอง สำหรับความเคลื่อนไหวทองคำปีหน้ามองกรอบบน ระยะกลาง และระยะยาวที่ 1,879-1,916 ราคาไทยประมาณ 30,850-31,450 บาทต่อบาททองคำ กรอบล่าง 1,766-1,616 หรือ รอซื้อประมาณ 29,000-26,500 บาทต่อบาททองคำ แนะนักลงทุนแบ่งขายเมื่อมีกำไร

นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้า (TFEX) เปิดเผยว่า ภาพรวมราคาทองคำในปี 2565 ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวนราคาเหวี่ยงกว่า 20% โดยต้นปีราคาทองคำเปิดที่ 1,828 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ และปรับไปแตะระดับสูงสุดที่ 2,069 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ จากข่าวรัสเซีย-ยูเครนเข้ามาเป็นปัจจัยหนุน และเริ่มปรับตัวลดลงเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน มีนาคม ราคาทองคำจึงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนทำจุดต่ำสุดที่ 1,614 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ แต่สัญญาณทองคำกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งช่วงท้ายปีเฟดเริ่มมีท่าทีปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยลงทำให้ทองคำเริ่มยืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ อย่างไรก็ดีในปี 2565 ราคาทองคำในประเทศเคลื่อนไหวแตกต่างกับราคาทองคำต่างประเทศ เพราะค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯฯ จึงทำให้ปีนี้นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบันหากใครถือทองคำในราคาไทยยังคงได้กำไรประมาณเกือบ 4%

ส่วนแนวโน้มปี 2566 แนวโน้มราคาทองคำจะเคลื่อนไหวมีโอกาสปรับขึ้นได้ค่อนข้างมาก โดยมีปัจจัยหนุนที่ต้องติดตาม 4 ปัจจัย เริ่มจาก
1. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพราะหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯมีโอกาสถดถอยหากเฟดยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีหากมองย้อนไปในอดีตหากเกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจส่วนใหญ่ทองคำจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก
2. จากความกังวลเรื่องการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่า ทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจจะเปลี่ยนไปคือปรับขึ้นได้น้อยลงมากกว่าที่เฟดคาด และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น โดยคาดว่าภายในไตรมาส 4/2566 จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย อีกทั้งหากเฟดลดอัตราดอกเบี้ยในปลายปีหน้า ก็จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง ซึ่งก็จะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ
3. การเคลื่อนไหวของกองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุนทองคำขนาดใหญ่ ที่เดือน ตุลาคม และพฤศจิกายน 2565 กองทุน SPDR ขายทองคำน้อยลง รวมถึงเริ่มกลับมาซื้อทองคำในเดือน ธันวาคม 2565 จึงเป็นสัญญาณบวกที่หนุนทองคำ
4. อย่างไรก็ดีปัจจัยความขัดแย้งระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน ก็ยังเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ แม้จะมีผลต่อการลงทุนน้อยลงแล้ว แต่ก็ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม

ทั้งนี้แนะนำการลงทุนทองคำในปี 2565 คาดระยะกลาง และระยะ ยาว 1,879-1,916 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ โดยราคาไทยจะอยู่ที่ประมาณ 30,850-31,450 บาทต่อบาททองคำ หากทองคำไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่เมื่อเทียบกับปี 2565 จะทำให้ทิศทางทองคำอยู่ในเกณฑ์ที่สดใส อย่างไรก็ดีทองคำหากมีแรงซื้อมากเกินไปก็จะมีการขายทำกำไรบางส่วน จึงแนะนำนักลงทุนแบ่งขายบางส่วน อย่างไรก็ดี หากหลุด 1,766-1,729 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือ 29,000-28,350 บาทต่อบาททองคำสามารถรอซื้อที่ 1,616 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือรอซื้อประมาณ 26,500 บาทต่อบาททองคำ