สธ.เล็งชงศบค.ชุดใหญ่ ให้ยกเลิกตรวจ RT-PCR ก่อน 72 ชม. เป็นตรวจครั้งเดียวเมื่อถึง

346
0
Share:

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่าสถานการณ์โควิด-19 ขณะนี้เป็นไปตามที่วางไว้ ว่าช่วงกลาง มี.ค. การติดเชื้อจะเริ่มชะลอตัว แต่จะไม่ลดลงฮวบ เนื่องจากใช้มาตรการคล้ายการกั้นน้ำ ทำให้น้ำค่อยๆ เอ่อล้นและเริ่มลดลง สำหรับสายพันธุ์โอไมครอนนั้น ข้อมูลจากนักวิชาการระบุว่า อยู่ในช่วงกลางๆ และกำลังจะเข้าสู่ขาลง เนื่องจากเชื้ออ่อนแรงลง ฉีดวัคซีนครอบคลุมเพิ่มขึ้น และมีคนติดเชื้อไปมากแล้ว ซึ่งสถานการณ์ของไทยถือว่าค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ อย่างมาเลเซียก็ติดเชื้อใหม่และสะสมมากกว่าไทย

ตอนนี้ดูเหมือนว่าโรคจะแรง จากจำนวนการติดเชื้อใหม่ แต่จะดูเฉพาะตรงนี้ไม่ได้ เราต้องมองมากกว่ามิติการระบาด ไม่ใช่เพียงตัวเลขติดเชื้อรายวัน แต่ต้องมองการครอบคลุมวัคซีน ระบบบริการ มองตัวเชื้อและลดลงความรุนแรงลง สำหรับการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ วันที่ 18 มี.ค. สธ.เตรียมเสนอผ่อนคลายมาตรการเข้าประเทศระบบ Test&Go เพื่อให้เกิดความคล่องตัวทางเศรษฐกิจ

จากเดิมกำหนดว่า ผู้เดินทางจะต้องมีผลตรวจเชื้อเป็นลบด้วยวิธี RT-PCR ใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และมาถึงแล้วให้ตรวจ RT-PCR ซ้ำอีกครั้งทันที ก็เสนอว่าไม่จำเป็นต้องตรวจ RT-PCR ใน 72 ชั่วโมงแล้ว เหลือเพียงการตรวจครั้งเดียวเมื่อมาถึงไทย และตรวจ ATK ด้วยตนเองซ้ำอีกครั้งในวันที่ 5 ของการเดินทาง ขณะที่วงเงินประกันสุขภาพผู้เดินทางกำหนดให้เหลือ 1 หมื่นเหรียญสหรัฐ ซึ่งคำนวณจากค่าเฉลี่ยการรักษาพยาบาล จากเดิมเฉลี่ยค่ารักษา 1 ล้านบาทต่อราย ตอนนี้ก็เหลือเพียง 2 หมื่นบาทต่อราย

นอกจากนี้ จะรายงาน ศบค.ชุดใหญ่ ถึงแผนปรับโรคโควิด-19 สู่โรคประจำถิ่น เนื่องจากการจะเข้าสู่โรคประจำถิ่นจะมีผลต่อการควบคุมโรค การดูแลรักษา สังคมและกฎหมาย ศบค.จึงต้องรับทราบเพราะดูแลเรื่องสังคมและกฎหมาย ส่วนเรื่องการแพทย์ก็อยู่ในส่วนของ สธ.อยู่แล้ว ซึ่งต้องพิจารณามิติทางสังคมและการแพทย์ให้สมดุลกัน เนื่องจากมีการออกมาตรการทางสังคมและกฎหมายหลาย 10 ฉบับในช่วงการระบาด จึงต้องปรับกฎหมายเข้าสู่ปกติ เพื่อให้สอดรับกับแผนที่จะทำให้โควิดเป็น Post Pandemic หรือพ้นการการระบาดใหญ่

ทั้งนี้การปรับต้องทำแบบขั้นบันได โดยในช่วง 4 เดือนนี้ จะเป็นแผน 3 เฟส + 1 ทำให้เกิดเป็น Post Pandemic ที่ไม่มีการระบาดใหญ่อยู่ในช่วงปลอดภัย ส่วนการทำให้เป็น Endemic อาจต้องดูการประกาศจากองค์การอนามัยโลก ทั้งหมดต้องอยู่ในเงื่อนไขว่า ไวรัสไม่มีการกลายพันธุ์รุนแรงเข้ามา โดยต้องทำอย่างมีสเต็ป ไม่ใช่ว่า 4 เดือนแล้วจะเปิดหน้ากาก มีกิจกรรมสังคมเต็มที่ อาจตั้งเป้าหมายอย่างเรื่องการใส่หน้ากาก ก็สนับสนุนให้คนป่วยใส่หน้ากาก ส่วนคนทั่วไปก็ผ่อนคลายมากขึ้นอาจไม่ใส่ในพื้นที่เปิดโล่ง ส่วนกิจกรรมรวมกลุ่มก็อาจผ่อนคลายให้รวมตัวมากขึ้น เช่น สนามกีฬา คอนเสิร์ต เป็นต้น แต่ต้องมีมาตรการป้องกันอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดเป็นคลัสเตอร์ใหญ่