สมคิดวอนหยุดโจมตีเศรษฐกิจทางโซเชียล

982
0
Share:

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ผ่านมารัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างเต็มที่แล้ว แต่มีปัจจัยภายนอกไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอ การส่งออกลดลง เงินบาทแข็งค่า ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. จะเข้าไปดูแล โดยรัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซง เพราะสหรัฐกำลังจับตาประเทศไทยว่ามีการแทรกแซงค่าเงิน และอาจทำให้สหรัฐใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากับไทยยิ่งซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจไทย
.
แต่ภาคเอกชนก็ต้องร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในภาวะชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งปีนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกมาแล้วถึง 4 ครั้ง อยู่ที่ 3% ส่วนเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ที่ 2.4% แต่ในอัตราที่ลดลงไม่ได้ย่ำแย่ถึงขั้นติดลบ เพราะการส่งออกได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ทำให้โรงงาน แรงงาน ได้รับผลกระทบจากสายการผลิตหยุด คนตกงาน และว่างงาน 300,000-400,000 คน แต่เมื่อเทียบกับจำนวนแรงงานทั้งประเทศ 37 ล้านคน คิดเป็นเพียง 1 % อัตราการว่างงานต่ำสุดในโลก
.
อย่างไรก็ตามยังเป็นห่วงสถานการณ์การเมืองไทยขณะนี้ มีความขัดแย้งสูง สะท้อนจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ล่มมาแล้ว 2 ครั้ง โดยขอให้ทุกฝ่ายมีความสามัคคีก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้า
.
อย่างไรก็ตามต้องการให้ภาคเอกชนใช้โอกาสจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ปรับโครงสร้างการผลิต พัฒนาสู่อุตสาหกรรมใหม่สินค้าใหม่ ๆ สินค้านวัตกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่ามากกว่าการขายสินค้าแบบเดิม ตลาดเดิม เพราะขณะนี้รูปแบบของการค้าโลกเปลี่ยนไปสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่แล้ว เอกชนต้องพัฒนายกระดับตัวเองมากกว่าเรียกร้องให้ดูแลค่าเงินบาท
.
ทั้งนี้ยอมรับว่าเหนื่อย กับการโจมตีผ่านทางโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจตกต่ำ คนตกงาน ตลาดหุ้นทรุด หรือ การลงทุนในEEC ไม่เกิดประโยชน์ เป็นตัวบั่นทอนการทำงานของรัฐบาล โดยอยากให้ทุกฝ่ายเห็นความจริงใจในการทำงานและร่วมมือกันในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประเทศที่ได้รับการยอมรับ เพราะไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เป็นช่วงที่สำคัญที่จะต้องก้าวผ่านไปให้ได้ ไม่อยากให้ออกมาโจมตีกันอย่างเดียว แต่จะต้องช่วยกัน ทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
.
โดยไม่เข้าใจผู้ที่ออกมาโจมตีในขณะนี้ มีความต้องการอย่างไร ต้องการให้เกิดความขัดแย้งหรือทำให้รัฐบาลเสื่อมความน่าเชื่อถือ แต่โดยส่วนตัวไม่สนใจใครรักใครชัง เพราะตลอดการทำงาน 10 กว่าปีที่ผ่านมาต้องการให้นโยบายเดินหน้าต่อไปได้แม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาล