สมชัยเตือน ส.ว. อย่ากดดันตัวเลข 376 เสียงตั้งรัฐบาลใหม่ ชี้ใครก็อยากเป็นรัฐบาล
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย และอดีตเลขาธิการ กกต. ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกระแส ส.ว. งดออกเสียงสนับสนุนตั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีด้งนี้
การงดออกเสียงของ ส.ว. ไม่ใช่หล่อ แต่คือการไม่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
กระแสการประกาศงดออกเสียงของ ส.ว. จำนวนหนึ่ง โดยบอกแบบหล่อๆ ว่า ส.ว. ต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมืองนั้นเป็นอะไรที่ดูแย่มากๆ
จำไม่ได้หรืออัลไซเมอร์ไปแล้วคือเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ที่รัฐสภาลงมติเลือกคุณประยุทธ์เป็นนายกด้วยคะแนน 500 : 244 นั้น มี ส.ว. ลงมติแบบพร้อมเพรียงถึง 249 คน งดออกเสียง 1 เสียง
ทั้ง ผบ.เหล่าทัพต่างๆ ทั้ง ส.ว. อีกหลายคนที่วันนี้บอกว่าจะงดออกเสียงเพราะต้องเป็นกลางทางการเมือง วันนั้นทำไมจึงลงมติ ไม่ปล่อยให้สภาคุยกับเอง ไม่พูดว่าใครได้ 376 เสียง ก็เป็นรัฐบาลสิ
เอาละ แม้จะไม่เห็นด้วยกับหลักให้ ส.ว. เลือกนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อเป็นข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญในมาตรา 272 ว่า การเลือกนายกฯ ต้องกระทำในที่ประชุมรัฐสภา จึงเป็นสิ่งที่พวกท่านต้องทำหน้าที่
การมาแสดงเหตุผล “งดออกเสียง เพื่อความเป็นกลางทางการเมือง” พอคนฝ่ายที่ตั้งพวกท่านมาเป็น ส.ว. แพ้การเลือกตั้ง จึงเป็นอะไรที่ดูแย่มากๆ ไม่ใช่ความสง่างามใด ๆ เลย
ขณะที่ในช่วงเช้าวันนี้ 16 พฤษภาคม 2566 นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกระแสการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้กานำของพรรคก้าวไกล มีดังนี้
อย่ากดดันให้ตั้งรัฐบาล 376 เสียง เพราะความหายนะทางการเมืองรอบใหม่จะเกิดขึ้น รัฐบาล 310 เสียง ฝ่ายค้าน 190 เสียง เป็นตัวเลขที่เหมาะสม
รัฐบาลมีเสถียรภาพ มั่นคง และมีแนวนโยบายในทิศทางเดียวกันที่จะผลักดันการเปลี่ยนแปลง ฝ่ายค้านมีเสียงพอควรที่จะกำกับตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่หาก ส.ว. เล่นเกมงดออกเสียง แรงกดดันอาจนำไปสู่การหาเสียงในสภาเพิ่ม ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก เพราะทั้งภูมิใจไทย พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา ฯลฯ ล้วนเพียงรอสัญญาณ ก็พร้อมเข้าร่วมรัฐบาลทันที
รัฐบาล 376 เสียงขึ้นไปจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ผลที่ตามมา อาจกลายเป็นความเสียหาย
1. รัฐบาลจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาด กลายเป็นเผด็จการรัฐสภา ปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุล กลายเป็นวิกฤตการณ์การเมืองรอบใหม่
2. การดำเนินการตามนโยบายของพรรค จะเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากมีพรรคที่มีอุดมการณ์แตกต่างกันมาเป็นรัฐบาลผสม และกลายเป็นรัฐบาลแบ่งปันผลประโยชน์ตามแต่ละกระทรวงที่กำกับ
3. ทางออกในเรื่องนี้ จึงมิใช่แค่เรียกร้องให้ สมาชิกวุฒิสภา ยอมลงมติตามเสียงประชาชน แต่เพียงทางเดียว แต่พรรคก้าวไกลควรปรับท่าทีและปรับลดนโยบายที่แข็งกร้าวในบางเรื่อง เพื่อให้สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่าเป็นพรรคที่สุขุม คัมภีรภาพ และพอรับได้
4. ทางออกนี้ คือการประนีประนอม ซึ่งอาจไม่ถูกใจสายฮาร์ดคอร์ ที่ปรารถนาการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน แต่หากก้าวไกลยอมรับความจริงว่าการเมืองและความสำเร็จในการบริหารประเทศ คือการต้องมีจุดรุก จุดถอยในจังหวะที่เหมาะสม
สำเร็จช้าบ้าง แต่สำเร็จย่อมดีกว่า จะดึงดันผลักดันให้สำเร็จแต่ยากจะสำเร็จ
พูดแบบคนอายุ 64 ปี