สลบเหมือด! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดดิ่งกว่า 250 จุด

456
0
Share:

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 3 0,775 จุด -253 จุด หรือ -0.82% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,785 จุด -33 จุด หรือ -0.88% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,028 จุด -149 จุด หรือ -1.33% ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 2 ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติรายไตรมาสที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 2 ปี 3 เดือน หรือนับตั้งแค่ไตรมาสที่ 1 ปี 2020 ขณะที่ดัชนีหุ้นนาสแดคทำสถิติเลวร้ายที่สุดในรอบ 14 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2008 โดยดำดิ่งหนักมากถึง -22.4% ในไตรมาส 2 ปีนี้ ที่สำคัญดัชนีหุ้นนาสแดคทำสถิติทรุดหนักรุนแรงถึง -31% เข้าสู่ภาวะหมี หรือ Bear Market นับตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งเป็นวันที่ดัชนีดังกล่าวทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดครึ่งปีแรก ทำสถิติดำดิ่งรุนแรงในรอบ 52 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา เนื่องจากดำดิ่งหนักถึง -21.89% เมื่อเทียบจากสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เข้าสู่ภาวะหมี หรือ Bear Market

สาเหตุจากกระทรวงพาณิชย์รายงานดัชนีค่าใช้จ่ายผู้บริโภคขั้นพื้นฐาน หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า ตัวชี้วัดความเป็นไปได้เงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ปรากฎว่า เพิ่มขึ้นที่ระดับ 4.7% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นอัตราเพิ่มขึ้นที่ชะลอตัวลงจากเดือนเมษายน 0.2% อย่างไรก็ตาม ยังอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงในรอบ 42 ปี หรือนับตั้งแต่ในช่วงต้นปี 1980

สำหรับปัจจัยในภาพรวมที่กระทบตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาอย่างรุนแรงต่อเนื่อง ได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเกิดภาวะถดถอยมีสูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาที่มีแนวโน้มพุ่งสูงต่อเนื่องในรอบ 41 ปี ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่มากที่สุดถึง 0.75% ทำสถิติมากที่สุดในรอบ 28 ปี ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้นอายุ 10 ปี อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติศาสตร์เกินกว่า 3% ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาสำคัญหลายตัวที่ยังย่ำแย่ต่อเนื่อง สงครามรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อกระทบราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิดทำสถิติพุ่งสูงในรอบหลายปี มาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ที่สร้างผลกระทบต่อระบบห่วงโซ่การผลิตของระบบเศรษฐกิจโลก

ตลาดซื้อขายสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 105.76 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -4.02 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล รวม 2 วันทำการติดต่อกันมีราคาตกต่ำถึง -6 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือกว่า -3.7% ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 109.03 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -3.42 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -3% รวม 2 วันทำการติดกันมีราคาทรุดลงถึง -5.14 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากกลุ่มโอเปกพลัสแถลงผลการประชุมว่ามีมติยึดตามข้อตกลงกาคปรับขึ้นกำลังการผลิตน้ำมันดิบตามมติเดิมคือ 648,000 บาร์เรล/วันในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม ท่ามกลางสถานการณ์ภาวะน้ำมันดิบตลาดโลกตึงตัวอย่างมาก นอกจากนี้ คนงานในแท่งขุดเจาะน้ำมันดิบทั้ง 74 แห่งในประเทศนอร์เวย์จะผละงานประท้วงในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ ส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิตน้ำมันดิบราว 4% ของประเทศนอร์เวย์ รวมถึงรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานรัสเซีย ยอมรับว่าแนวคิดจำกัดเพดานราคาน้ำมันดิบรัสเซียของกลุ่มจี 7 จะส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบตลาดโลกพุ่งสูงอย่างแน่นอน

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,807.70 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -12.00 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -0.5% ส่งผลให้มีราคาทองคำรายไตรมาสที่ตกต่ำมากกว่า -6% นอกจากนี้ ยังทำสถิติราคาทองคำร่วงลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ก่อนหน้านี้ ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจาก ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาปรับแข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 19 ปี หลังการประชุมเวทีธนาคารกลางกลุ่มยูโรที่ประเทศโปรตุเกส โดยเฉพาะแนวโน้มหรือมุมมองเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของกลุ่มยูโรที่จะปรับเพิ่มสูงขึ้นในเดือนนี้ และเดือนหน้าต่อเนื่อง ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐรายไตรมาสทำสถิติแข็งค่ามากที่สุดในรอบมากกว่า 5 ปี กระทบต่อการซื้อทองคำอย่างมาก