สิวารมณ์ เชื่อทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 66 โตต่อเนื่อง แม้ ธปท. ไม่ต่อมาตรการ LTV

168
0
Share:
สิวารมณ์ เชื่อทิศทางตลาด อสังหาริมทรัพย์ ปี 66 โตต่อเนื่อง แม้ ธปท. ไม่ต่อมาตรการ LTV

นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยแนวราบประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม เปิดเผยว่า ทิศทางของภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะไม่ต่อมาตรการผ่อนคลาย LTV (Loan to Value) แต่ตลาดก็ยังมีปัจจัยบวกจากการที่ภาครัฐมีการขยายอายุมาตรการการลดค่าธรรมเนียมในการซื้อที่อยู่อาศัยสำหรับบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการโอนจาก 2% เหลือ 1% และลดค่าธรรมเนียมในการจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566

รวมถึงการที่ประเทศจีนได้เปิดประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดท่องเที่ยวไทยและตลาดที่อยู่อาศัยไทย จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ส่งผลให้กำลังซื้อผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบ มีดีมานด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นเรื่องแหล่งทำเลที่ตั้ง และการเดินทางคมนาคมสะดวก สะดวกสบายเป็นหลัก ซึ่งในส่วนการพัฒนาโครงการของ SVR เอง ก็ตั้งอยู่ในทำเลที่มีความต้องการต่อเนื่อง เห็นได้จากการทยอยส่งมอบโครงการอยู่ตลอดเวลาในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนถึงความต้องการที่ยังมีอยู่สูง

อย่างไรก็ตามแม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะไม่ต่อมาตรการผ่อนคลาย LTV ในปี 2566 ซึ่งจะมีผลกระทบกับการตัดสินใจซื้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์อยู่บ้างนั้น แต่ด้วยโครงการ ของ SVR ที่มีอยู่จับลูกค้าในกลุ่ม Real Demand (ลูกค้าที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัย) เป็นหลัก อีกทั้ง บริษัทฯ ยังมีการเตรียมความพร้อมในการออกแคมเปญทางการตลาด เพื่อสร้างยอดผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการ (Walk-in) ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นความต้องการของลูกค้าอีกด้วย

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังร่วมกับสถาบันการเงินจัดวันเพื่อให้คำปรึกษาด้านสินเชื่อในแต่ละโครงการ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าด้วย ดังนั้น ในส่วนของบริษัทฯเองจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยบริษัทฯเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อยูนิต โดยมีขนาดที่ดินต่อโครงการไม่เกิน 50 ไร่ ทำให้สามารถกระจายการพัฒนาโครงการได้ในหลากหลายพื้นที่ ซึ่งมีความเหมาะสมกับความต้องการและไม่เกิดอุปทานส่วนเกิน ส่งผลให้โครงการของบริษัทสามารถขายได้หมดภายในระยะเวลา 3 ปี

ปัจจุบันบริษัทฯมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและการขาย จำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวม 2,996 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาจำนวน 1 โครงการ มูลค่า 686 ล้านบาท โดยที่ในปี 2566 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตสู่ระดับ High Growth อย่างยั่งยืนในอนาคต โดยโครงการดังกล่าว คาดว่าจะสามารถเปิดเผยข้อมูลโครงการอย่างชัดเจนในเร็วๆ นี้