ส.ค้าปลีกไทยชี้รัฐต้องกล้าเชิงรุกแก้การระบาดพันธ์ุโอไมครอน ลดค่าน้ำ-ค่าไฟ-ดอกเบี้ย

402
0
Share:
เศรษฐกิจ

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า  “เราไม่สามารถกลับมาเจอกับบาดแผลที่จะซ้ำตรงที่เดิมได้อีกแล้ว ดังนั้น การทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อของโอไมครอนลดลงหรือให้มีจำนวนน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ ต้องใช้ระบบป้องกันแบบปูพรม (Innate Immunity) เพิ่มความช่วยเหลือให้ SMEs ไทยมีสภาพคล่อง และการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นคีย์หลักที่สมาคมฯ พร้อมที่จะร่วมผลักดันให้ประเทศไทยก้าวผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้อีกครั้ง” ประธานสมาคมฯ กล่าว

ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวต่อไปว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอไมครอนที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ และจากการศึกษาเกี่ยวกับการแพร่ระบาดพบว่าโอกาสของการติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้รวดเร็วกว่าโควิดสายพันธุ์อื่นๆ โดยประเทศไทยเองก็ได้มีการแพร่กระจายไปยัง 47 จังหวัดทั่วประเทศไทย สมาคมผู้ค้าปลีกไทย จึงมีความกังวลต่อแนวโน้มของจำนวนผู้ติดเชื้อโอไมครอนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กภาคส่วนต้องร่วมใจ ร่วมมือ และร่วมผลักดันอย่างพร้อมเพรียงในการควบคุมการแพร่ระบาดในครั้งนี้ ประชาชนทุกคนต้องร่วมมีวินัยและป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัดตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข มีความเป็นไปได้มากว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 30,000 คนต่อวัน ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ ซึ่งน่าจะผ่านความท้าทายนี้ไปได้ไม่ยาก เศรษฐกิจไทยกำลังจะฟื้นตัวจากวิกฤต และทุกคนต้องร่วมผลักดันไม่ให้ประเทศไทยเข้าสู่วิกฤตอีกครั้ง

ทั้งนี้ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย มีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องในเรื่อง ดังต่อไปนี้

1.รัฐต้องมีมาตรการเชิงรุกสำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดให้มีการควบคุมอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม หากมีการระบาดในแต่ละพื้นที่ รัฐควรมีการปิดเฉพาะพื้นที่ที่เป็นคลัสเตอร์เท่านั้น

2.การยกระดับการเตรียมพร้อมของระบบสาธารณสุข
-เร่งกระจายวัคซีน ทั้งในส่วนที่ประชาชนได้จองไว้ผ่านโรงพยาบาลเอกชน และในส่วนที่รัฐบาลจัดหามา เพื่อให้วัคซีนกระจายถึงประชาชนให้มากที่สุด และเร็วที่สุด
-เสริมชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ที่มีคุณภาพสูง ในราคาที่ภาคเอกชนและประชาชนสามารถเข้าถึงได้ เนื่องจากมีความจำเป็นต้องใช้เป็นจำนวนมากเพื่อการตรวจเชื้อโควิด-19
-เตรียมยารักษาโควิด-19 ให้พร้อม เผื่อในกรณีที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อในวงกว้าง เพื่อเป็นการตัดตอนการแพร่ระบาดให้ได้ทันท่วงที
-สำรองเตียงสำหรับผู้ป่วยหนัก ให้มีความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นทั่วประเทศ

3.อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐที่มีผลลัพธ์ที่ดี เช่น โครงการคนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน เป็นต้น รวมทั้งการเร่งเบิกงบประมาณทุกหน่วยงานของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเงินหมุนเวียนในระบบฯ

4.ช่วยภาคเอกชนและประชาชนลดค่าใช้จ่าย โดยช่วยลดค่าน้ำ ค่าไฟ ลดเงินสมทบประกันสังคม ภาษีป้าย รวมถึงดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงิน ดอกเบี้ยบัตรเครดิต ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ไม่มีการค้ำประกัน และพิจารณาลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการทั้งที่เกี่ยวข้องกับโควิดทางตรงและทางอ้อม