หนี้ครัวเรือนคนไทยเฉลี่ยแตะ 501,711 บาท มากเป็นประวัติการณ์

583
0
Share:

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้สำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยในปีนี้ พบว่า คนไทย เกือบ 100% มีหนี้ครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นหนี้ส่วนบุคคล และบัตรเครดิต โดยกลุ่มตัวอย่าง 1,350 ตัวอย่างทั่วประเทศ ที่ส่วนใหญ่มีรายได้เกิน 50,000 บาทต่อเดือน/ต่อครัวเรือน ซึ่งรายได้ต่อครัวเรือน ยังน้อยกว่ารายจ่าย ทำให้การใช้ไม่เพียงพอ เพราะปัจจุบันค่าครองชีพสูงเกินไป ซึ่งพบว่ากลุ่มตัวอย่างถึง 99.6% มีหนี้สินมาจากหนี้ส่วนบุคคล รองลงหนี้จากบัตรเครดิต นำมาใช้จ่ายในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค และซื้อสินค้าคงทน อย่างเช่น ยานพาหนะ และที่อยู่อาศัย รวมทั้งหนี้เพื่อการประกอบธุรกิจ ทำให้ยอดหนี้ต่อครัวเรือนรวมมีถึง 500,000 บาทแม้จะเป็นอัตราหนี้ที่สูง แต่ส่วนใหญ่เป็นหนี้ทีเกิดจากทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง เช่น บ้าน คอนโดเป็นต้น

ทั้งนี้ จำนวนหนี้เฉลี่ย 501,711 บาทต่อครัวเรือนเป็นจำนวนหนี้ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขยายตัว 3.7% แต่ส่วนใหญ่เป็นหนี้อยู่ในระบบมากขึ้นที่ 78.9% ซึ่งผ่อนชำระประมาณเดือนละ 12,801 บาท ซึ่งในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา กว่า 65.9% เคยประสบปัญหาการขาดการผ่อนชำระ หรือผิดนัดการผ่อนชำระ เนื่องจากรายได้ลดลง เศรษฐกิจไม่ดี และค่าครองชีพที่ไม่สอดคล้องกับรายได้นอกจากนี้ ในกลุ่มตัวอย่าง มีข้อเสนอแนะภาครัฐ จัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ มีการให้ความรู้เรื่องการบริหารหนี้ การฝึกอบรมอาชีพเพิ่มทักษะในการประกอบอาชีพ ให้ความรู้เรื่องการวางแผนการใช้จ่าย และรู้จักใช้จ่ายอย่างพอเพียง

“แม้จำนวนหนี้ต่อครัวเรือนในปีนี้จะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตามสถานการณ์เศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่ส่วนใหญ่อยู่ในระบบ จึงสะท้อนได้ว่าคนไทยเข้าถึงสินเชื่อ หรือ กู้ในระบบได้มากขึ้นเพราะมีทรัพย์สิน และถือเป็นเรื่องปกติที่คนชั้นกลางจะก่อหนี้เพื่อซื้อสินทรัพย์ รวมทั้งหลังจากนี้ ภาครัฐ และเอกชน จะต้องเร่งลงทุน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายโดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ มาทดแทนมาตรการกระตุ้นการบริโภคที่ไม่สามารถทำได้ในระยะยาว ดังนั้น หากเศรษฐกิจไทย ฟื้นตัวได้เร็ว และนักท่องเที่ยวที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย จะค่อยๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ส่วนปัญหาหนี้เสีย หรือ NPL ก็ยังไม่น่ากังวล เพราะสถาบันการเงิน ต่างตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ และการติดตามหนี้ในระบบ ก็มีกระบวนการไกล่เกลี่ยตามกลไกปกติ จึงไม่น่าจะเกิดภาวะ NPL สูงขึ้นได้แน่นอน” นายธนวรรธน์กล่าว